หุ้น BKD เลื่อนขึ้น SET ได้ฤกษ์ซื้อขาย 26 ก.ค. นี้

HoonSmart.com>>บางกอกเดค-คอน ย้ายหุ้นขึ้นกระดานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง  เดินหน้ารุกธุรกิจหลักรับเหมาตกแต่งภายในครบวงจร สร้างผลตอบแทนที่ดีต่อผู้ถือหุ้น  คาดหวังหุ้น BKD  เป็นที่รู้จักวงกว้างในกลุ่มนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ 

นางนุชนารถ  รัตนสุวรรณชาติ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบางกอกเดค-คอน (BKD)  เปิดเผยว่า  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อนุมัติการย้ายหลักทรัพย์ของ BKD เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)ในวันที่  26   ก.ค.2562  ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของบริษัทและหุ้น BKD ให้เป็นที่รู้จักวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ

“BKD มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป)  ณ วันที่ 23 ก.ค. 2562  มูลค่า 3,034.91 ล้านบาท และมีการซื้อขายที่สม่ำเสมอ คาดว่า หลังจากหุ้นย้ายขึ้นมาเทรดที่กระดาน SET จะช่วยลดข้อจำกัดในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มความเชื่อมั่นในหุ้น BKD มากขึ้น ปัจจุบันมีหุ้นจำนวน 1,076,210,468 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท รวมทุนจดทะเบียน 538,105,234 บาท ”นางนุชนารถ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKD กล่าวถึงแนวโน้มการดำเนินงานว่า บริษัทยังคงเป้าหมายมุ่งเน้นธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายในครบวงจรและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้ผลการดำเนินงานมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งรายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการรับงานที่มีคุณภาพให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่าเน้นปริมาณงาน   ช่วงครึ่งปีแรกจะเน้นรับงานภาคเอกชนเป็นหลัก สัดส่วนรายได้กว่า 80%  กลุ่มลูกค้าหลักคือโรงแรมและโรงพยาบาล   ซึ่งจะมีทั้งการตกแต่งใหม่และการปรับปรุง ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือประมาณ 1,200 ล้านบาท

แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ นางนุชนารถ กล่าวต่อว่า ยังเติบโตต่อเนื่อง ในส่วนธุรกิจตกแต่งภายในบริษัทได้ตั้งเป้าหมายว่ารายได้จะเติบโตประมาณ 10%  หลังจากมีรัฐบาลแล้ว จะทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้จะเริ่มเห็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ  ซึ่งบริษัทจะได้รับอานิสงส์จากโครงการลงทุนต่างๆ  ทั้งภาครัฐและเอกชน  อย่างไรก็ตามในปีนี้ยังประเมินว่ารายได้หลักของบริษัทยังจะมาจากภาคเอกชน ส่วนปีหน้าจะเริ่มมีสัดส่วนรายได้จากภาครัฐเพิ่มขึ้น