เตือนนักลงทุนศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ-ขายหุ้น ติดตามตรวจสอบการทำงานของนักวิเคราะห์เจ้าไหนถูกหรือผิด ล่าสุดหุ้นฟื้น 4% ”แก้วบุตตา”แก้ข้อมูล ช้อนหุ้นรวม 9.14 ล้านหุ้น ใช้เงิน 339 ล้านบาท
กรณีบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) เป็นตัวอย่างที่ดีในการเชิญชวนให้ติดตามและตรวจสอบการทำงานของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เนื่องจาก บทวิเคราะห์ที่ปรับปรุงใหม่ในวันที่ตลาดตื่นตระหนก 16 พ.ค. 2561 มีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะเรื่องของราคาเป้าหมายในปีนี้ บล.ภัทรให้เพียง 36 บาท ส่วนบล.เอเซียพลัสยังคงยืนยันราคาไว้ที่ 64 บาท ราคาที่ห่างกันถึง 28 บาท คิดเป็นมากกว่า 40% สาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากการได้รับข้อมูลพื้นฐานที่แตกต่างกัน เช่น คุณภาพลูกหนี้เอ็นพีแอลและราคาหลักประกัน จึงประเมินความเสี่ยงไปคนละทาง
นักวิเคราะห์ บล.ภัทร ปรับลดราคาเป้าหมายลงพรวดเดียว 30 บาท คิดเป็นประมาณ 45% จากที่เคยให้มูลค่าเหมาะสมที่ 66 บาท หลังจากปรับลดประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้ลง 22% และ 29%ในปีหน้า ภายใต้สมมุติเรื่องความสามารถในการทำกำไร
ทางด้าน น.ส.อุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า บริษัทยังคงมูลค่าเหมาะสมในปีนี้ที่ 64 บาท หลังจากเพิ่งปรับลดราคาลงจาก 78 บาท ตามการปรับลดประมาณการกำไร ส่วนสำรองที่ไม่ตั้งเพิ่มในไตรมาส 1 ในกรณีลูกค้าเอสเอ็มอี มูลหนี้กว่า 600 ล้านบาทมีหลักประกันคุ้มค่า หากกรณีเลวร้ายสุด ยึดหลักประกันไปขายทอดตลาดยังคุ้มค่า เชื่อว่าบริษัทจะสามารถจัดการปัญหาได้เร็ว
“นักลงทุนยังต้องระมัดระวัง หนี้เอ็นพีแอลจะเป็นแรงกดดันราคาหุ้นต่อไป จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการแก้ปัญหา “น.ส.อุษณีย์ กล่าว
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า นักลงทุนควรศึกษาบทวิเคราะห์ให้ดี เพราะอาจจะตัดสินใจลงทุนผิดพลาดได้ หากยึดคำแนะนำและราคาเป้าหมาย SAWAD ของนักวิเคราะห์บางสำนัก ความเห็นแตกต่างกันมาก อาจจะเกิดจากการรับรู้ข้อมูลไม่เท่าเทียมกัน
ขอยกตัวอย่างบล. ฟินันเซียไซรัส คาดว่า หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น บริษัทต้องการเงินสำรองอีก 900 ล้านบาท แสดงว่าไม่ได้คิดถึงมูลค่าหลักประกัน และสูงกว่ามูลหนี้ที่มีอยู่ เมื่อเปรียบกับทางบล.เอเซียพลัสระบุว่า มูลหนี้ 600 ล้านบาท มีหลักประกันคุ้มค่า นอกจากนั้น บล.ภัทรปรับลดราคาเป้าหมายลงมากกว่า 40 % ก็ไม่สอดคล้องกับการปรับลดประมาณการกำไรลงเพียง 20%
“นักวิเคราะห์หลายคนคงจะประเมินราคาใหม่ โดยพิจารณาราคาหุ้นในตลาดประกอบด้วย หลังเห็นราคาไหลลงอย่างรวดเร็ว”นักวิเคราะห์กล่าว
ส่วนนักวิเคราะห์รายอื่นๆ เช่น บล.เอเชีย เวลท์ ปรับราคาจาก 77 บาทเหลือ 48 บาท ลดลง 29 บาทหรือ 37% บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ให้เป้าใหม่ 57 บาท บล.เออีซี ให้มูลค่า 59 บาท ส่วนบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศ) อยู่ระหว่างการปรับปรุงประมาณการและราคาพื้นฐาน ทั้งนี้ก่อนงบการเงินไตรมาส 1 จะออกมา แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 80 บาท
สำหรับบทวิเคราะห์ที่แตกต่างกันมากและการตื่นตระหนกของนักลงทุน กดราคาหุ้นดิ่ง 21.71% ในวันที่ 16 พ.ค. เพียงวันเดียวสร้างความเสียหายสูงถึง 10,328.96 ล้านบาท โดยเฉพาะ”กลุ่มแก้วบุตตา”ที่ขาดทุน 3,443 ล้านบาท จากการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 362,425,805 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 33.33%
อย่างไรก็ตาม วันที่ 17 พ.ค. ราคากระเตื้องขึ้นมาปิดที่ 35.75 บาท บวก 1.50 บาทหรือ 4.38% เพราะความเชื่อมันของนักลงทุนดีขึ้นหลังจากเห็นผู้ถือหุ้นใหญ่ซื้อหุ้นในราคาสูงกว่า 37 บาท
ทางด้าน น.ส.ดวงใจ แก้วบุตตา ได้ขอแก้ไขข้อมูลที่รายงานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ว่า วันที่ 16 พ.ค. ได้หุ้น SAWAD มาจำนวน 6,591,600 หุ้นในราคา 37.36 บาท และในวันเดียวกัน นายฉัตรชัย แก้วบุตตารายงานว่าคู่สมรส ได้มาจำนวน 2,550,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 36.72 บาท รวม 2 ล็อต เป็นเงินทั้งสิ้น 339.89 ล้านบาท