“บ้านปู”ลุยซื้อเหมืองถ่านหินเล็ก-แหล่งก๊าซ1หมื่นล้าน

BANPU คาดราคาถ่านหินปีนี้ดีกว่าปีก่อน และจะทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น เล็งซื้อเหมืองถ่านหินขนาดเล็กในอินโดฯเพิ่ม ขณะที่รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้ายังเพิ่ม เตรียมทุ่ม 350 ล้านเหรียญหรือ 1 หมื่นล้านซื้อแหล่งก๊าซเพิ่ม

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาถ่านหินปรับเพิ่มเป็น 104-107 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ราคาถ่านหินที่บ้านปูผลิตได้จากเหมืองต่างๆเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะถ่านหินจากอินโดนีเซียขายได้ 85 เหรียญสหรัฐต่อตัน ทำให้ปีนี้บริษัทจะมีรายได้จากการขายถ่านหินเพิ่มขึ้น โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าขายถ่านหิน 45 ล้านตัน เพิ่มจากปีที่แล้วที่ขายได้ 42 ล้านตัน ขณะที่ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยปีนี้จะสูงกว่าปีที่แล้ว

“ไตรมาสแรกเราขายถ่านหินได้แล้ว 10 ล้านตัน และ3 ไตรมาสที่เหลือเราจะเร่งขายอีก 35 ล้านตัน ส่วนราคาขายเฉลี่ยในปีนี้น่าจะมากกว่า 71 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพราะยังมีดีมานด์ที่สูงมากจากจีนและอินเดีย สำหรับราคาถ่านหินที่เพิ่มเป็น 100 เหรียญสหรัฐต่อตัน เราคิดว่าจากนี้ไปราคาอาจลดลง แต่ในระยะยาวจะไม่ต่ำกว่า 85 เหรียญสหรัฐต่อตัน และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 10-15% จากต้นปี ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น 1 เหรียญทุกๆการผลิต 1 ตัน”นางสมฤดีกล่าว

นางสมฤดี ระบุว่า ปีนี้บ้านปูมีแผนลงทุนเหมืองถ่านหินแห่งใหม่ แต่จะเน้นแหล่งถ่านหินขนาดเล็กที่อยู่ใกล้ๆกับแหล่งเดิม ซึ่งมีขนาดการลงทุนไม่เกิน 5-150 ล้านเหรียญสหรัฐต่อแห่ง ขณะที่การขุดเหมืองเดิมให้ลึกลงไป จะทำให้บ้านปูมีปริมาณสำรองถ่านหินเพิ่มขึ้น เช่นที่อินโดนีเซียที่ได้ขุดเหมืองถ่านหินลึกลงจากเดิม ซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณสำรองได้อีก 150 ล้านตัน หรือมีปริมาณสำรองใช้ได้ 15 ปี ส่วนแหล่งถ่านหินที่ออสเตรเลียและจีน มีปริมาณสำรองใช้ได้ 30 ปี

สำหรับธุรกิจผลิตและขายไฟฟ้าคาดว่าปีนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากจะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าในจีนและญี่ปุ่นใหม่เพิ่มขึ้นอีก 97 เมกะวัตต์ ก่อนเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ในปี 2566 และทำให้ปีนี้บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 2,160 เมกะวัตต์ จากปีที่แล้ว 2,070 เมกะวัตต์ ในขณะที่ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าต่างๆยังอยู่ในระดับที่ดี เช่น โรงไฟฟ้าหงสงฯมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 90%

นางสมฤดี กล่าวว่า ในส่วนธุรกิจก๊าซที่มีการลงทุนในสหรัฐนั้น ปีนี้มีแผนใช้เงินลงทุนอีก 350 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนแหล่งก๊าซในพื้นที่ใกล้เคียงแหล่งเดิม จากก่อนหน้านี้ที่มีการลงทุนไป 520 ล้านเหรียญสหรัฐ และปีนี้คาดว่าราคาก๊าซจะเพิ่มเป็น 2.99 เหรียญต่อล้านบีทียู จากไตรมาสเฉลี่ยแรก 2.85 เหรียญต่อล้านบีทียู ขณะที่ธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานที่เพิ่งริเริ่ม เช่น โซลาร์รูฟท็อป และแบตเตอร์รี่ ยังสร้างรายได้ไม่มาก แต่เป็นการวางรากฐานไว้

“สัดส่วนรายได้ในปีนี้ยังเป็นธุรกิจผลิตและขายถ่านหิน 65% อีก 35% มาจากธุรกิจผลิตและขายไฟฟ้า และอีก 5% มาจากธุรกิจก๊าซ และในระยะยาวสัดส่วนการขายถ่านหินจะลดลงเหลือ 45% ธุรกิจผลิตและขายไฟฟ้า 40% ธุรกิจก๊าซหิน 10% และธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน 5%”นางสมฤดีกล่าว

นางสมฤดี กล่าวว่า แม้ไตรมาสแรกปีนี้บริษัทจะขาดทุน โดยขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และการชดใช้สินไหมในคดีโรงไฟฟ้าหงสาฯ แต่เมื่อพิจารณาที่ตัว EBITDA จะพบว่ามีการเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และปีนี้ EBITDA เติบโตแน่นอน ส่วนการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนถือว่าเป็นการขาดทุนทางบัญชี และหากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงที่เหลือของปี จะทำให้การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนพลิกกลับมาเป็นกำไรอัตราแลกเปลี่ยนได้