HoonSmart.com>>ปิโตรเคมีกดดันกำไร SCC แรงตามคาด เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ปรับลดประมาณการปีนี้และปีหน้าลง คาดไตรมาส 2 ทำได้เพียง 8,008 ล้านบาท เคจีไอให้ถือ ไตรมาส 3 จะดีขึ้น บล.ฟิลลิปให้ทยอยสะสม
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SCC ในช่วงอ่อนตัว ราคาเป้าหมาย 490 บาท แม้ว่ากำไรไตรมาส 2 จะทรุดลงเหลือเพียง 8,008 ล้านบาทลดลง 31% จากไตรมาส 1 และลดลง 35% จากระยะเดียวกันปีก่อนก็ตาม และปรับประมาณการปีนี้ลง 11% เหลือ 40,343 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน ส่วนปี 2563 ปรับลดประมาณการลง 8% เหลือ 45,082 ล้านบาท แต่ยังเติบได้ 12%
ผลงานปี 2563 จะได้แรงหนุนจากการรวมงบ Fajar ซึ่งทำธุรกิจแพคเกจจิ้งในอินโดนีเซีย ที่ 3 ไตรมาสล่าสุด สามารถทำกำไรได้เท่ากับ 900-1,100 ล้านบาทต่อไตรมาส โดย SCC ถือ 55% คาดช่วยเพิ่มกำไรประมาณ 495-605 ล้านบาทต่อไตรมาส ทำให้กำไรธุรกิจแพคเกจจิ้งเพิ่มขึ้นเป็น 8,115 ล้านบาท โต 16% และ ปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คาดกำไรจะเพิ่มเป็น 9,955 ล้านบาท โต 15%
กำไรไตรมาส 2 ได้รับผลกระทบจากกฏหมายแรงงานใหม่ ทำให้ต้องตั้งสำรอง 2,000 ล้านบาท และภาวะขาลงของธุรกิจปิโตรเคมี จากสเปรด HDPE – Naphtha ที่ลดลงเหลือ 539 เหรียญ/ตัน ลดลง 6%จากไตรมาส 1 และ ลดลง 27% จากปีก่อน และ PP – Naphtha ปรับลดลงเหลือ 599 เหรียญ/ตัน คาดจะมีผลขาดทุนในสต็อกเข้ามากระทบอีกจากราคา Ethylene ที่ปรับลดลงแรง รวมถึงความต้องการในตลาดปิโตรเคมีที่ต่ำจากสงครามการค้า ทำให้ขายในราคาที่ลดต่ำลงเพื่อผลักดันยอดขาย ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์ และ แพคเกจจิ้ง จะถูกกระทบจากช่วงโลซีซั่น แต่ไตรมาสไตรมาส 2 คาดจะมีปันผลจากค่ายรถยนต์เข้ามาช่วยประมาณ 1-1.5 พันล้านบาท โดยอุตสาหกรรมรถยนต์ สำหรับงวด ต.ค. 2561 – มี.ค. 2562 มีการเติบโตที่ดี
สถานการณ์ธุรกิจปิโตรเคมีในครึ่งปีหลังจะยังไม่ดีต่อเนื่อง แต่ดีขึ้นจากไตรมาส 2 ปรับประมาณการลดลง และยังมีกระแสเงินสดในรูป EBITDA สูง รองรับการลงทุน และ จ่ายปันผลปีนี้ประมาณ 18 บาท
บล.เคจีไอ แนะนำ “ถือ”ราคาเป้าหมาย 458 บาท คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ SCC ในไตรมาส 2จะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ลดลง13.9% จากไตรมาส 1 และลดลง 9.1% จากระยะเดียวกันปีก่อน เพราะ spread ปิโตรเคมีลดลง และผลกระทบของปัจจัยฤดูกาลที่ส่งผลต่อธุรกิจปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และอุปสงค์ของบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศ คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีแรก 7 บาท/หุ้น อัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 43% คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.5% คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาส 3 จะดีขึ้นเล็กน้อย จากไตรมาส 2
บล.ฟิลลิป แนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาเป้าหมาย 480 บาท คาดกำไรลดลง 66% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามวงจรปิโตรเคมีเข้าสู่ช่วงต่ำสุด มีผลขาดทุนคงคลังจากราคาผลิตภัณฑ์ลดลงราว 400 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายพิเศษตามกฎหมายแรงงานใหม่
กำไรปีนี้คงเหนื่อย ได้รับแรงกดดันจากธุรกิจปิโตรเคมี ขณะที่ ปูน-วัสดุก่อสร้างยังน่าจะเติบโตได้เล็กน้อยจากมาร์จิ้นดีขึ้นตามการปรับราคาขาย ส่วนธุรกิจกระดาษเพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการที่อินโดนีเซีย โดยรวมยังมีแรงฉุดจากปิโตรเคมี คาดกำไรปีนี้ลดลง 18%