บลจ.ธนชาต มั่นใจหุ้นขนาดใหญ่ยังไปต่อ เหตุปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง มองมีโอกาสแตะ 1,900 จุด พร้อมเสนอขายกองทุน T-PrimePlusAI รอบใหม่ ตั้งแต่วันนี้ -8 มีนาคม 2561 หลังจ่ายปันผล ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย เดือนก่อน
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดเสนอขายกองทุน T-PrimePlusAI รอบใหม่ ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ และ ยังเชื่อมั่นว่าหุ้นไทยยังไปต่อได้ โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากปัจจุบันหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีได้รับแรงบวกจากปัจจัยเฉพาะตัวค่อนข้างมาก และแนวโน้มราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีอนาคต ทำให้ผลตอบแทนของหุ้นในกลุ่มนี้ในระยะที่ผ่านมาและระยะต่อไปค่อนข้างสดใส นอกจากนี้ สำหรับหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่เช่นกัน ก็พบว่าได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจไทยที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ในระดับสูงถึง 17.6% ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน ส่งผลให้ปัจจัยที่เคยกดดันหุ้นกลุ่มธนาคารมาโดยตลอดอย่างเงินสำรองหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ผ่อนคลายลงมาก ทำให้หุ้นกลุ่มนี้กลับมามีความน่าสนใจมากขึ้น
นอกจากนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังมีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวต่างชาติยังเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับแรกๆ ของการท่องเที่ยวต่างประเทศ อีกทั้งยังมีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะปรับประมาณการผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น
นอกจากความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทยแล้ว ในส่วนของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ก็เป็นประเด็นที่เราควรจับตา เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ในปี 2564 ที่จะส่งผลให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุถึงร้อยละ 20 ซึ่งสิ่งที่ตามมาสำหรับการที่คนเราจะอายุยืนขึ้น ก็ต้องมีการเตรียมพร้อมกับสำหรับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเงินไว้ หรือทำประกันไว้เผื่อเวลาที่ต้องใช้ ซึ่งที่กล่าวมา เป็นแนวคิดหลักของกองทุน T-PrimePlusAI ที่ให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นๆ เนื่องจากบริษัทมองว่า การลงทุนในหุ้นจำเป็นต้องให้เวลา ถึงจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ การขายคืนหน่วยลงทุนในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ทำให้เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบที่ดี และก็พบว่าส่วนหนึ่งที่เป็นอุปสรรคทำให้การลงทุนในหุ้นไม่ประสบความสำเร็จ คือ การต้องนำเงินที่ลงทุนไว้มาเป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ทำให้ไม่สามารถลงทุนได้ถึงเป้าหมายที่วางไว้
กองทุน T-PrimePlusAI จัดตั้งมาประมาณ 5 เดือน ปัจจุบันขนาดกองทุนใหญ่ราวๆ 4,900 ล้านบาท และผลการดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมาก็อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงปัจจุบันสามารถทำผลตอบแทนได้ 11.03% โดยที่ SET 50 ทำผลตอบแทนอยู่ที่ 13.02% (ข้อมูล ณ 28 ก.พ. 61) และปัจจุบันจ่ายปันผลไปแล้ว 1 ครั้ัง เมื่อวันที่ 20 ก.พ.61 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย”
กองทุนนี้ในระยะแรก มีกลยุทธ์เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ไม่เกิน 40 บริษัท โดยผู้จัดการกองทุนมีการคัดกรองบริษัทตามเงื่อนไขที่วางไว้อย่างเข้มข้น โดยจะพิจารณาบริษัทในด้านต่างๆ อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความมั่นคงของบริษัท อัตราหนี้สินของบริษัท การทำกำไรของบริษัท
ทั้งนี้ กองทุน T-PrimePlusAI เป็นกองทุนหุ้นไทย ที่มีสิทธิประโยชน์ที่โดดเด่น คือ หากลงทุนตามเงื่อนไข ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์จากประกันชีวิตและสุขภาพด้วย โดยในส่วนของการลงทุนนั้น มีเงื่อนไข คือ ลงทุนขั้นต่ำที่ 500,000 บาท และคงเงินลงทุนเอาไว้อย่างน้อย 1 ปี และสามารถขายกองทุนได้ตามรอบที่กำหนด โดยจะมีแผนคุ้มครองสุขภาพตามกรมธรรม์ ถึง 4 แผนความคุ้มครอง ซึ่งแต่ละแผนความคุ้มครองจะขึ้นอยู่กับเงินลงทุนของผู้ลงทุน ตั้งแต่ 500,000 บาท, 1,500,000 บาท, 5,000,0000 บาท ไปถึง 10,000,000 บาท โดยคุณสมบัติสำคัญของผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์นี้ คือ เป็นบุคคลธรรมดา ที่มีอายุระหว่าง 15-65 ปี มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงตามเงื่อนไขของบริษัทประกัน และการคุ้มครองนั้นจะเริ่มต้นในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่ลงทุนหรือเมื่อได้รับการอนุมัติจากบริษัทประกัน
กองทุน T-PrimePlusAI หลังจากเปิดขายรอบเดือนมีนาคมนี้ จะมีการเปิดขายทุกๆ 3 เดือน คือช่วง เดือนตุลาคม, มกราคม, เมษายน และกรกฎาคม โดยเริ่มจากเดือนตุลาคมเป็นครั้งแรก
สำหรับการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนนี้ กรณีลงทุนในปีที่ 1 จะขายได้เมื่อกองทุนครบกำหนดอายุ 1 ปี ในกรณีลงทุนในปีที่ 2 ผู้ลงทุนก็จะขายได้เมื่อถือหน่วยลงทุนครบ 1 ปี ในเงินลงทุนแต่ละก้อน
กองทุน T-PrimePlusAI เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ รู้จักและคุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้น แต่ไม่ต้องการความหวือหวาเหมือนการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก เน้นลงทุนในระยะ 1 ปี ไปจนถึงระยะยาวได้ ต้องการความคุ้มครองจากประกันสุขภาพ อย่างกลุ่มนักลงทุนในวัยทำงานที่เป็นเสาหลักครอบครัว และต้องการหลักประกันสุขภาพให้ตัวเองเพื่อสามารถดูแลครอบครัวได้