SAWAD-BFIT เครดิตเพิ่ม ทริสฯ ชี้ฐานทุนแกร่งหนุนกำไรโต

HoonSmart.com>>ทริสฯ เพิ่มอันดับเครดิต บริษัทศรีสวัสดิ์ฯ และ บง.ศรีสวัสดิ์ เป็น “BBB+”  ฐานทุนแข็งแกร่ง  ก่อหนี้ต่ำ พอร์ตสินเชื่อโต ห่วง SAWAD ปล่อยกู้ลูกหนี้ใช้อสังหาฯ เป็นหลักประกันเพิ่ม เสี่ยงเรื่องสภาพคล่อง  ส่วน BFIT กำไรจะดีขึ้นในปี 2562-2564 

บริษัททริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) เป็นระดับ “BBB+” จากเดิมที่ระดับ “BBB” สะท้อนถึงฐานทุนที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากอัตราการก่อหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำ การเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องของพอร์ตสินเชื่อ และความสามารถในการทำกำไรที่เข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดจากการมีคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในระดับปานกลางและสัดส่วนการปล่อยกู้ที่เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มลูกหนี้ที่ใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน อาจสร้างความเสี่ยงให้แก่บริษัทในด้านของสภาพคล่องของสินทรัพย์และการกระจุกตัวของลูกหนี้

แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” ภายใต้สมมติฐานของทริสฯ ที่บริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกัน รวมถึงความสามารถในการทำกำไร และควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ในขณะเดียวกัน ยังคาดหวังด้วยว่าคณะผู้บริหารของบริษัทจะทยอยปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อและควบคุมสัดส่วนการปล่อยกู้ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์มาอยู่ที่ 39% ณ เดือนมี.ค. 2562 จาก 25% ในปี 2559

“ทริสฯ คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจะอยู่ต่ำกว่า 2 เท่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า อัตราการก่อหนี้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ลดลงจาก 2.2 เท่า ในปี 2559 มาอยู่ที่ 1.4 เท่า ณ สิ้นเดือนมี.ค. 2562  ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงจาก Cathay Financial Holding Co., Ltd. (Cathay) จำนวน 2,600 ล้านบาทในเดือนก.พ. 2562 เป็นสำคัญ

บริษัทมีการสะสมของกำไรที่แข็งแกร่งและอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ต่ำช่วยหนุนให้ฐานทุนที่เข้มแข็งเพื่อการขยายธุรกิจในระยะปานกลาง ณ เดือนมี.ค. ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตมาอยู่ที่ 17,072 ล้านบาท จาก 11,175 ล้านบาทสิ้นปี 2560 เติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 21%  ขณะที่พอร์ตสินเชื่อรวม  (รวม ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 และบริษัทเงินทุน(บง.) ศรีสวัสดิ์ ) เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 2 เท่าในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 32,791 ล้านบาท ณ เดือนมี.ค. 2562 จาก 17,469 ล้านบาทในปี 2559 ในไตรมาส 1/ 2562 สินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น 5% จากสิ้นปี 2561 โดยการเปิดสาขาใหม่และการขยายสินเชื่อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ณ เดือนมี.ค. มีสาขาจำนวน 3,086 แห่ง การมีเป้าหมายที่จะเปิดสาขาใหม่จำนวน 200- 300 แห่งต่อปี น่าจะทำให้พอร์ตสินเชื่อโตมากกว่าเลข 2 หลักได้ในระยะ 3 ปีข้างหน้า

ทริสฯ คาดหวังว่าความสามารถในการทำกำไรจะยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าจะลดลงเล็กน้อยในระยะหลังจากการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทและการมีอัตราผลตอบแทนที่ลดลง งบรวมมีกำไรสุทธิ 3,001 ล้านบาทในปี 2561 เพิ่มขึ้น 11% จากปี 2560 ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิ 872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม (ROA) เฉลี่ยลดลงเป็น 8.3% ในปี 2561 จาก 9.8% ในปี 2560 แต่ยังคงสูงกว่าสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารรายอื่น ๆ ที่จัดอันดับเครดิตโดยทริสฯ

ทั้งนี้ การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน บง. ศรีสวัสดิ์ เป็น 78% ในเดือนมิ.ย.นี้ จาก 45% ในปี 2561 ทริสฯ คาดว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มอัตราผลตอบแทนในภาพรวมได้ในระยะสั้น เนื่องจากสินเชื่อของ บง. ศรีสวัสดิ์ สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยได้สูงกว่าสินเชื่อที่ดำเนินการโดยบริษัทศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 แต่ทริสฯมองว่าอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นเพียงชั่วคราว เนื่องจากตลาดยังมีการแข่งขันที่สูง

ส่วนคุณภาพสินทรัพย์และการกันสำรองอยู่ในระดับปานกลาง ถึงแม้ว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมในระดับ 3- 4% สอดคล้องกับเป้าหมายที่ต่ำกว่า 5% แต่ยังคงสูงกว่าคู่แข่งซึ่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.2% และบริษัทยังคงมีอัตราส่วนความเพียงพอของการตั้งสำรองสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100% มาโดยตลอด ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่ง การปรับเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่ว่าจะเกิดจากการลดลงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเกิดจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นล้วนเป็นผลบวกต่ออันดับเครดิตบริษัททั้งสิ้น

ทริสฯ ใช้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน พอร์ตสินเชื่อของบริษัทจะเติบโต 15 -30% ต่อปี ในระหว่างปี 2562-2564 และกำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ยที่ 14% ต่อปี ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ ทริสฯ ได้เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร ของบง. ศรีสวัสดิ์ เป็นระดับ “BBB+” จากเดิมที่ระดับ “BBB” สะท้อนถึงฐานทุนที่แข็งแกร่งและอัตราการก่อหนี้ที่ลดลง รวมถึงสถานะทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น

ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอยู่บนพื้นฐานที่บริษัทมีสถานะเป็นหน่วยปฏิบัติการหลัก ของกลุ่ม SAWAD นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความยืดหยุ่นทางการเงิน เนื่องจากสถานะของบริษัทที่เป็นบริษัทเงินทุนที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยการรับเงินฝากจากสาธารณะได้ด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิต ก็มีข้อจำกัดจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” ทริสฯคาดว่าบริษัทจะสามารถขยายพอร์ตสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรที่ดีและดำรงอัตราการก่อหนี้ที่ต่ำเอาไว้ได้

“ฐานทุนเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทำให้อัตราการก่อหนี้อยู่ในระดับที่ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ทริสฯค าดว่าจะปรับลดลงไปอยู่ต่ำกว่า 3 เท่า จากระดับ 6.9 เท่า ณ เดือนมี.ค. 2562 ซึ่งบริษัทแม่เพิ่มทุน ได้เงินประมาณ 6,000 ล้านบาท ส่งผลให้เงินกองทุนชั้นที่ 1 เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับเกือบ 50% ภายในเดือนมิ.ย. และสัดส่วนการถือหุ้นโดย SAWAD เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 78% จากเดิมที่ 45% ฐานทุนสูง ทำให้บริษัทสามารถขยายสินเชื่อและรองรับความเสี่ยงในด้านลบจากหนี้สูญที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ”

ทริสฯ คาดว่ากำไรของ BFIT จะดีขึ้นในปี 2562-2564 จาก ปี 2561 กำไรเพิ่มขึ้น 60% หลังปรับโครงสร้างธุรกิจการให้กู้ยืมของกลุ่ม ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา สัญญาเงินกู้ที่มีพาหนะเป็นหลักประกันและสินเชื่อที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันที่มียอดการอนุมัติน้อยกว่า 10 ล้านบาทจะให้บริษัทเป็นคู่สัญญา และสินเชื่อคงค้าง เพิ่มขึ้น 8,799 ล้านบาท หรือ 94% ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1,637 ล้านบาท หรือ 266% แต่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 142 ล้านบาท มาอยู่ที่ 377 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 61%เกิดจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจากค่าธรรมเนียมในการให้บริการและไตรมาส 1 กำไรลดลงมาอยู่ที่ 51 ล้านบาท หรือ ลดลง 51% เชื่อว่าบริษัทจะสามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ ทริสฯคาดว่า ROA จะอยู่ที่ประมาณ 2% ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ณ เดือนมี.ค. 2562 โครงสร้างเงินทุน ประกอบด้วยเงินรับฝากจำนวน 7,237 ล้านบาทและการกู้ยืมจาก SAWAD จำนวน  8,500 ล้านบาท