HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นไทยยังเนื้อหอม ต่างชาติลุยซื้ออีก 3.78 พันล้านบาท ดัชนีปิดพุ่ง 9.43 จุด ยอดซื้อต่างชาติปีนี้แตะ 4 หมื่นล้านบาท “บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด” เตือนหุ้นแพง ดัชนีเพิ่มขึ้น 10% ตั้งแต่ต้นปี แนะระมัดระวังลงทุน เน้นหุ้นคุณภาพดี มองหุ้นปันผลสูงสม่ำเสมอเป้าหมายลงทุน รับมือผันผวน ดอกเบี้ยต่ำ
ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 27 มิ.ย.2562 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,731.64 จุด เพิ่มขึ้น 9.43 จุด หรือ +0.55% มูลค่าการซื้อขาย 69,369.10 ล้านบาท โดยระหว่างวันดัชนีพุ่งกว่า 13.67 จุด เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค จากปัจจัยบวกคาดหวังผลการประชุม G20 หลังรมว.คลังของสหรัฐฯ และจีนออกมาระบุว่ามีโอกาสที่ผู้นำของทั้งสองประเทศจะบรรลุข้อตกลงการค้ากันได้ รวมทั้งตัวเลขค้าปลีกของญี่ปุ่นออกมาเพิ่มขึ้น
ด้านนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 3,780.07 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 378.95 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนทั่วไปและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขาย ซึ่งตั้งแต่ต้นปีต่างชาติซื้อสุทธิแล้วกว่า 4.10 หมื่นล้านบาท
นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ASI เปิดเผยว่า ปัจจุบันหุ้นไทยราคาไม่ถูกแล้วและตลาดยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ซึ่งตั้งแต่ต้นปีดัชนีปรับตัวขึ้นมา 10% โอกาสที่จะขยับตัวเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้อาจยาก เนื่องจากยังมีปัจจัยลบจากสงครามการค้าและความตึงเครียดในตะวันออกลางกดดัน ซึ่งคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะจบเมื่อไร
“ตลาดหุ้นไทยยังได้แรงหนุนจากฟันด์โฟลว์ไหลเข้าหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงดีขึ้นมาก รวมถึงหุ้นไทย ซึ่งปัจจัยนี้น่าจะช่วยหนุนตลาดอยู่ แต่นักลงทุนต้องระมัดระวัง และควรเลือกหุ้นรายตัวที่มีคุณภาพดี อย่าไล่ซื้อตามตลาด”นายอดิเทพ กล่าว
สำหรับบลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ยังคงเพิ่มน้ำหนักลงทุนตลาดหุ้นไทย โดยปัจจุบันลงทุนมากกว่าดัชนี MSCI ที่ให้น้ำหนักประมาณ 1% ขณะที่กองทุนของอเบอร์ดีน สแตนดาร์ดอยู่ที่ 3.5-4% โดยมองช่วงที่เหลือของปีนี้หุ้นปันผลน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยลบที่ยังกดดันตลาด รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับลดลง
นายอดิเทพ กล่าวว่า กองทุนอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มปันผลมาอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากให้ผลตอบแทนปันผลระดับต่ำสูงแล้วยังได้กำไรจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ซึ่งบริษัทที่มีการจ่ายปันผลส่วนใหญ่มีอัตราการเติบโตด้านกำไรต่อเนื่องเช่นกัน ทำให้ช่วงที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนแบบนี้ กลุ่มหุ้นปันผลจึงเป็นเป้าหมายหลักในการคัดเข้าพอร์ตลงทุน สำหรับหุ้นที่บริษัทเลือกเข้าลงทุนนั้น จะต้องมีนโยบายจ่ายปันผลสม่ำเสมอในอัตราผลตอบแทนเงินปันผลตั้งแต่ 3% ขึ้นไป
“ตอนนี้หุ้นปันผลได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะสหรัฐจะลดดอกเบี้ย เงินฝากก็ลดลง ที่ผ่านมาหุ้นปันผลหลายตัว รวมถึงกองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นนักลงทุนควรเลือกดูรายตัว เพราะบางตัวราคาขึ้นเกินพื้นฐานไปมากแล้ว ซึ่งการบริหารพอร์ตกองทุนในช่วงที่ผ่านมาเราก็ขายปรับพอร์ตบ้างในหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นไปมากและรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐานและแนวโน้มน่าสนใจ” นายอดิเทพ กล่าว
สำหรับหลักการคัดเลือกหุ้นของกองทุนอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด จะนำเรื่องของ ESG (Environment-สิ่งแวดล้อม,Social -สังคมและGovernance-ธรรมาภิบาล) เข้ามาช่วยคัดเลือกมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากเชื่อว่าหลักการดังกล่าวจะช่วยให้กองทุนมีหุ้นที่ดีและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูงในระยะยาว โดยจะคัดเลือกบริษัทที่มีนโยบายในการประกอบธุรกิจที่ยั่นยืนโดยคำนึงถึงการเติบโตของผลกำไรบริษัท ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ซึ่งจากสถิติจะพบว่าหุ้นเหล่านี้จะสร้างผลตอบแทนระยะยาว 3 ปีขึ้นไปได้ดีกว่าบริษัทที่ไม่มี ESG
“บริษัทฯ ไม่มีแผนออกกองทุนเพื่อลงทุนหุ้น ESG เนื่องจากปัจจุบันกองทุนภายใต้การบริหารของอเบอร์ดีน สแตนดาร์ดมีการลงทุนในหุ้น ESG ซึ่งเป็นหนึ่งในการคัดเลือกหุ้นเพื่อเข้าลงทุนอยู่แล้ว เรียกได้ว่าหุ้นทุกตัวต้องมี ESG” นายอดิเทพ กล่าว
ด้านนายเดวิด สมิธ หัวหน้าฝ่ายกำกับดูแลธรรมาภิบาล ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค กองทุนอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อินเวสเม้นท์ (เอเชียแปซิฟิค) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงมีมุมมองการลงทุนเชิงบวกต่อตลาดหุ้นในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย เนื่องจากยังมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แม้จะมีปัจจัยลบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนและสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งมองว่าเป็นความเสี่ยงในระยะสั้น
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องของการเมือง และคาดว่าการเบิกจ่ายของภาครัฐในปีนี้อาจจะล่าช้าไปถึงในไตรมาส 4 ปี 2562 แต่โดยรวมตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน
นายพงศ์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) มองว่าเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นในรอบนี้ไม่ใช่เป็นเฮดจ์ฟันด์ แต่เข้ามาเพื่อลงทุน เพราะในด้านปัจจัยพื้นฐานไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบเพื่อนบ้าน ทำให้เงินไหลเข้ามาทั้งตลาดหุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้