กนง.มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ย 1.75% หั่น GDP ปีนี้โต 3.3%

HoonSmart.com>> บอร์ดกนง. มติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ย 1.75% มองแนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าประเมินไว้ สงครามการค้าฉุดเศรษฐกิจโลกชะลอ พร้อมปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ขยายตัว 3.3% จากเดิม 3.8% ส่วนส่งออกคาดเติบโต 0% จากเดิม 3% นำเข้าติดลบ 0.3% จากโต 3.1% รับกังวลเงินบาทแข็งค่า จับตาเงินทุนไหลเข้า ค่าเงินใกล้ชิด

นายทิตนันท์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง.ในวันที่ 26 มิ.ย.2562 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากการส่งออกสินค้าและบริการเป็นสำคัญ

กนง.ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ(GDP) ไทย ปี 2562 เหลือเติบโต 3.3% จากเดิมคาด 3.8% และปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2563 เหลือโต 3.7% จากเดิมคาด 3.9% พร้อมปรับลดคาดการณ์นำเข้าปี 2562 เป็น -0.3% จากเดิมคาดโต 3.1%, ปี 2563 คงคาดโต 4.8% และปรับลดคาดการณ์ส่งออกปี 2562 เหลือ 0% จากเดิมคาด 3.0% ก่อนขยายตัว 4.3% ในปี 2563 ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปปี 62 คงคาดการณ์ไว้ที่ 1.0%

สำหรับอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ

ในการประชุมครั้งนี้คณะกรรมการฯ เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวต่่ากว่าที่ประเมินไว้ โดยการส่งออกสินค้าขยายตัวชะลอลงกว่าที่ประเมินไว้มากตามเศรษฐกิจคู่ค้าและปริมาณการค้าโลกที่ชะลอลงจากสภาวะการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้นโดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ และจีน ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวต่่ากว่าที่ประเมินไว้จากจ่านวนนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก

ส่าหรับด้านอุปสงค์ในประเทศ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังได้รับแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงรายได้และการจ้างงานที่มีสัญญาณชะลอลงในภาคการผลิตเพื่อส่งออก การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง อย่างไรก็ดีการย้ายฐานการผลิตมายังไทยและโครงการร่วมลงทุนของรัฐและเอกชนในโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยสนับสนุนการลงทุนในระยะต่อไป

ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่่ากว่าที่ประเมินไว้จากการประกาศใช้พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจ่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่คาดว่าจะล่าช้าและการเลื่อนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามความเสี่ยงด้านต่างประเทศจากสภาวะการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและประเทศอุตสาหกรรมหลักที่จะส่งผลมาสู่อุปสงค์ในประเทศ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งจะติดตามการด่าเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่และการใช้จ่ายภาครัฐ ตลอดจนความคืบหน้าของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ส่าคัญและผลต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้โดยราคาอาหารสดมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นจากการประชุมครั้งก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อาทิ ผลกระทบจากการขยายตัวของธุรกิจ e-commerce การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น รวมถึงพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ท่าให้ต้นทุนการผลิตลดลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าในอดีตภาวะการเงินที่ผ่านมาอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่่า ภาคเอกชนยังสามารถระดมทุนได้ต่อเนื่อง โดยสินเชื่อขยายตัวต่อเนื่องทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออุปโภคบริโภค

ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นค่อนข้างเร็วและแข็งค่าน่าเงินสกุลภูมิภาคเป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางอ่อนค่าลง การไหลเข้าของเงินทุนในช่วงสั้น ๆ และปัจจัยในประเทศ คณะกรรมการฯ มีความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและการไหลเข้าของเงินทุนอย่างใกล้ชิด

ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจสร้างความเปราะบางให้เสถียรภาพระบบการเงินได้ในอนาคต คณะกรรมการฯ เห็นว่ามาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินที่ได้ด่าเนินการไปและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมาช่วยดูแลการสะสมความเปราะบางในระบบการเงินจากพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) ในภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่่า ซึ่งอาจน่าไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่่ากว่าที่ควร (underpricing of risks) ได้ในระดับหนึ่ง

แต่ยังต้องติดตามการก่อหนี้ของภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์การขยายสินทรัพย์และความเชื่อมโยงภายในของสหกรณ์ออมทรัพย์ การปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ภายหลังการปรับปรุงเกณฑ์การก่ากับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) มีผลบังคับใช้รวมถึงการก่อหนี้ของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่อาจประเมินความเสี่ยงต่่ากว่าที่ควร

ทั้งนี้ การลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในช่วงต่อไปยังจ่าเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลด้วยเครื่องมือที่หลากหลายทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสม มาตรการก่ากับดูแลสถาบันการเงิน (microprudential) และมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (macroprudential) ที่จะต้องให้ความส่าคัญเพิ่มขึ้นกับความสามารถในการช่าระหนี้ของลูกหนี้

กนง. มองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงตามแรงส่งจากอุปสงค์ต่างประเทศเป็นส่าคัญ คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะผลกระทบของสภาวะการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการด่าเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมในระยะต่อไป