HoonSmart.com>> บลจ.กรุงไทย มองหุ้นไทยได้แรงหนุนธนาคารกลางยุโรป-สหรัฐฯส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน ชี้ตลาดรับข่าวเฟดมากเกิน คาดหั่นดอกเบี้ย 1-2 ครั้งต่ำกว่าคาด ฉุดดัชนีผันผวน พร้อมคงเป้าหุ้นไทยสิ้นปี 1,720 จุด แนะกระจายลงทุนนอก “หุ้นสุขภาพ” เติบโต กองรีท อสังหาริมทรัพย์ ปันผลดี
ดร.สมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยล่าสุดธนาคารกลางยุโรปพร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการเงินและการใช้ QE เพิ่ม ส่วนเฟดซึ่งประชุมวันที่ 18-19 มิ.ย.นี้ คาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.25-2.50% เหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามแต่มองว่าตลาดอาจจะตอบรับข่าวการปรับลดดอกเบี้ยมากเกินไป โดยตลาดคาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 2-3 ครั้ง แต่บริษัทมองว่าจะลดดอกเบี้ยประมาณ 1-2 ครั้งในช่วงเดือนก.ย.นี้ ซึ่งคาดว่าเฟดน่าจะรอผลการเจราการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในการประชุม G20 ในปลายเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งหากมีเหตุการณ์ที่น่ากังวลเฟดคงพร้อมลดดอกเบี้ย
“ส่วนตัวไม่คิดว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ตามที่นักลงทุนกังวลเศรษฐกิจโลกจะถดถอย (Recession) แม้จะเกิดสงครามการค้า และตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวชะลอ แต่บางตัวยังดี เช่น ภาคแรงงาน ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ ซึ่งการที่เศรษฐกิจชะลอหรืออาจทำให้เกิด Recession ทางเทคนิคขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ Recession แบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพราะสภาพตลาดการลงทุนโลกเปลี่ยนไป สัญญาณ Inverted Yield Curve ในปัจจุบันจึงเกิดขึ้นในภาวะการณ์ที่ต่างไป สภาพคล่องล้นโลก แต่ตลาดอาจจะผันผวนมากขึ้น ปรับตัวลงแรง 10% เป็นเรื่องปกติ”ดร.สมชัย กล่าว
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทย ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประชุมในวันที่ 26 มิ.ย.2562 คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% ไปจนถึงสิ้นปีนี้ ส่วนเศรษฐกิจไทยในปีนี้บริษัทปรับคาดการณ์ว่าจะเติบโต 3% จากเดิมมองไว้ 3.8% หลังจากสงครามการค้ายังกดดัน
ดร.สมชัย กล่าวว่า ส่วนการลงทุนในปัจจุบันยังมองหุ้นน่าสนใจกว่าตราสารหนี้ เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ โดยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,720 จุด บนสมมติฐานกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตประมาณ 8% สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ประมาณ 16.5 เท่า
“หากมอง P/E ตลาดหุ้นไทยอาจดูแพงเมื่อเทียบกับอดีต แต่ยังน่าสนใจและสามารถเข้าลงทุนได้ โดยต้องเน้นลงทุนเป็นรายตัวมากขึ้น และเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก”ดร.สมชัย กล่าว
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศท่ามกลางภาวะตลาดปัจจุบัน แนะนำการลงทุนในหุ้นสุขภาพทั่วโลก ซึ่งยังมีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจในระยะยาว โดยเฉพาะเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังต้องจับตานโยบายด้านสุขภาพของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ รวมถึงกองรีทและอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ยังให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจประมาณ 4-5% ต่อปี ท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยต่ำทั่วโลกและแนวโน้มลดลง
ปัจจุบันบลจ.กรุงไทยมีกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เฮลธ์แคร์ ฟันด์ (KT-HEALTHCARE) ลงทุนในหุ้นสุขภาพทั่วโลกและกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ (KT-PROPERTY)