EPCO วิ่งซิลลิ่ง รับข่าวอวดไตรมาส 1 /2560 กำไรนิวไฮ อานิสงส์รายได้โรงไฟฟ้า มั่นใจทั้งปีดันรายได้พุ่ง 40 % กำไรทะยาน
ราคาหุ้น EPCO เปิดตลาดปรับตัวพุ่งขึ้นแรงเปิด 3.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.62 บาท หรือ 20.12 % จากนั้นซิลลิ่ง 4 บาท และเวลา 11.42 น. อ่อนตัวลงมาที่ 3.98 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือ 29.22 % มูลค่าซื้อขาย 86.61 ล้านบาท เจ้าหน้าที่การตลาดคาดการณ์ แรงเก็งกำไรรับข่าวผลประกอบการเติบโตสูง
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก (EPCO) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทฯย่อยในไตรมาส 1/61 มีรายได้รวม 270.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7 ล้านบาท หรือ 2.2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 264.91 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 69.77 ล้านบาท(หุ้นละ 0.18 บาท) เพิ่มขึ้น 114.26% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าและธุรกิจสิ่งพิมพ์
ทั้งนี้ ในปี 2561 ถือเป็นปีแรกที่บริษัทฯจะมีการรับรู้กำไรของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม จำนวน 2 โรง กำลังการผลิต 360 เมกะวัตต์และไอน้ำ 60 ตัน เข้ามาเต็มปี ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นก็จะมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมอีก 15 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้และกำไรเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป ส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปีน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจากปีก่อนอยู่ที่ 207 ล้านบาทตามแนวโน้ม Q1/61
นายยุทธ กล่าวต่อว่า “ ที่ผ่านมา EPCO ได้เริ่มลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทุกประเภทมากกว่า 5 ปี โดยที่ผ่านมาจะเห็นว่าผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ มีการเข้าลงทุนในพลังงานความร้อนร่วม(Co-generation) โดยผ่านทาง EP และจะมีการลงทุนในพลังงานหลากหลายรูปแบบ ทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อๆไปอย่างต่อเนื่อง
ส่วนความคืบหน้าการนำ บริษัท อีสเทิร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในเดือนพฤษภาคมนี้ มีบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน คาดเข้าเทรดได้ภายในปี 2561 ตามแผน
ด้านราคาหุ้น EPCO เปิดตลาดพุ่งขึ้นไปเปิด 3.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.62 บาท หรือ 20.12 % จากนั้นซิลลิ่ง 4 บาท และเวลา 11.42 น. อ่อนตัวลงมาที่ 3.98 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือ 29.22 % มูลค่าซื้อขาย 86.61 ล้านบาท