CPF แจงไตรมาส 1 กำไรสุทธิ 3,049 ล้านบาท ลดลง 23% จากงวดปีก่อน เหตุราคาเนื้อสัตว์ตกต่ำ-ค่าเงินบาทแข็ง มั่นใจผลการดำเนินงานทั้งปีตามเป้าหมาย
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (CPF) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2561 ได้รับผลกระทบจากราคาเนื้อสัตว์ที่ลดต่ำลงและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่อยู่ในระดับที่แข็งตัวกว่าระยะเวลาเดียวกันที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้จากการขายไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ของจำนวน 120,516 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 1% จากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิจำนวน 3,049 ล้านบาท ลดลง 23% อย่างไรก็ตามจากระดับราคาเนื้อสุกรในประเทศเวียดนามและประเทศไทยที่ปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน ทำให้มั่นใจผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย
นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) ซีพีเอฟ กล่าวถึงปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของซีพีเอฟ ว่า ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟได้ร้บผลกระทบหลักจากราคาขายเนื้อสุกรที่ลดต่ำลงในประเทศเวียดนามและประเทศไทย ที่เป็นผลจากภาวะผลผลิตล้นตลาด โดยในประเทศเวียดนามราคาเนื้อสุกรเริ่มลดลงอยู่ในระดับต่ำกว่าต้นทุนการผลิตตั้งแต่ปลายปี 2559 มาจนถึงไตรมาสที่ 1 ปีนี้ สำหรับประเทศไทยราคาเนื้อสุกรเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ต่อเนื่องจนถึงไตรมาสที่ 1 ซึ่งในเดือนเมษายนที่ผ่านมาราคาเนื้อสุกรในทั้ง 2 ประเทศเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเหนือต้นทุนการผลิต คาดว่าราคาน่าจะดีขึ้นในไตรมาสที่ 2, 3 และ 4 เป็นลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทโดยภาพรวมดีขึ้นเป็นลำดับ
ด้านนายสุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจอาหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) กล่าวถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จของธุรกิจอาหาร พร้อมแจงมั่นใจโอกาสการเติบโตของธุรกิจยังมีอยู่ในหลายประเทศว่า “ความท้าทายของธุรกิจอาหารปัจจุบันนี้มีเพิ่มมากขึ้นจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ความปลอดภัยของอาหารต้องมาคู่กับรสชาติที่ถูกใจเสมอ ซีพีเอฟมุ่งมั่นในการสรรสร้างนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์อาหารทั้งในรูปของอาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมรับประทาน อาหารว่าง อาหารสุขภาพ อาหารเพื่อผู้ป่วย รวมถึงอาหารตามวัยของผู้บริโภค นอกจากนั้นงานวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตที่ทันสมัยได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้มาซึ่งต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และสิ่งสำคัญอีกประการที่บริษัทดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง คือ การใช้วัตถุดิบในการผลิตที่มีคุณภาพเสมอ”
ในวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา ซีพีเอฟ ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ประจำปี 2561 ในระดับ A+ โดยอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทย ตลอดจนการมีฐานการผลิตในหลายประเทศ การมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย กลยุทธ์ที่เน้นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์ รวมทั้งความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท
ทั้งนี้ รายได้จากการขายของซีพีเอฟเกิดจากกิจการในต่างประเทศจำนวน 15 ประเทศ คิดเป็น 66% รายได้จากกิจการในประเทศไทยคิดเป็น 29% และรายได้จากการส่งออกคิดเป็น 5% ของรายได้จากการขายรวม โดยรายได้จากการขายรวมใน 3 ประเทศหลัก คือ ประเทศไทย สาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศเวียดนาม คิดเป็นประมาณ 73%