HoonSmart.com>> บลจ.กรุงไทย แนะนักลงทุนจัดพอร์ตกระจายเสี่ยง ชูกองทุนหุ้นอินเดีย-หุ้นยุโรปเด่น “INVESCO” ผู้จัดการกองทุนหลักมองโอกาสเติบโตดี ยัน “กองหุ้นยุโรป” ไม่กระทบจากสงครามการค้า เน้นหุ้นขนาดกลางและเล็ก กำไรโตจากซื้อขายในกลุ่มยุโรป ด้านหุ้นอินเดีย ออกสตาร์ทหลังเลือกตั้งจบ โครงการอินฟราสตรัคเจอร์หนุนเศรษฐกิจ
นายเสรี ระบิลทศพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด 2 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า บลจ.กรุงไทย มองตลาดหุ้นอินเดียและตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มที่ดี โดย INVESCO ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนหลักของกองทุนเปิดเคแทม อินเดีย อิควิตี้ ฟันด์ (KT-INDIA) และกองทุนเปิดเคแทม ยูโรเปียน อิควิตี้ ฟันด์ (KT-EURO) มาอัพเดทข้อมูลการลงทุนและมองแนวโน้มกองทุนมีโอกาสเติบโตและสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุน ขณะที่ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
“กองหุ้นยุโรปเหมาะสำหรับลงทุนระยะกลาง-ยาว ตั้งแต่ 3-5 ปี ซึ่ง Invesco จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก กลยุทธ์เฟ้นหาหุ้นที่มูลค่าต่ำคาดหวังผลตอบแทนระยะยาว ส่วนกองทุนหุ้นอินเดีย ซึ่งคาดว่าตลาดจะได้ผลดีจากโครงการลงทุนอินฟราสตรัคเจอร์รวมถึงการปฏิรูปภายในประเทศอีกหลายด้าน ซึ่งทั้งสองกองทุนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 90% ซึ่งนักลงทุนสามารถนำมาจัดพอร์ต โดยแบ่งเงิน 5-10% ของพอร์ตมาลงทุนได้”นายเสรี กล่าว
นายชันดราเชค ค้าร์ ซันบ์ซิวาน ผู้จัดการกองทุน Invesco India Equities Fund เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในครึ่งปีหลังคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ แม้ตัวเลขล่าสุดเดือนพ.ค.2562 GDP ขยายตัว 5.8% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 5 ปี แต่ก็ไม่กังวล เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาการฟื้นตัวจากภาคเอกชน และหลังการเลือกตั้งโดยมีนายนเรนทรา โมดี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกสมัย จะส่งผลให้การดำเนินเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงคาดว่า GDP สิ้นปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 7.2-7.5% ได้
ส่วนอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมเฉลี่ย 4% บวกลบ ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 5.2% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในโลก ซึ่งสามารถปรับลดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ นอกเหนือจากการกระตุ้นผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการปฏิรูประบบภาษีของอินเดียซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของอินเดีย
นอกจากนี้จากสถิติการเลือกตั้ง 7 ครั้งหลังสุดของอินเดีย หากลงทุนในหุ้นอินเดียก่อนเลือกตั้ง 6 เดือนและถือต่อไปหลังเลือกตั้งอีก 24 เดือน จะสามารถทำกำไรได้ทุกครั้ง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นใคร หากเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ในขณะที่ราคาหุ้นอินเดียปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ชี้ให้เห็นว่าได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าไม่มากเมื่อเทียบประเทศอื่น
นายอิริก โยฮัน เอสเซลิงค์ ผู้จัดการกองทุน Invesco European Small Cap Equities Fund เปิดเผยว่า การลงทุนในยุโรปน่าจะเริ่มได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งยุโรปไม่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มแพง ที่ผ่านมาได้อานิสงส์จากหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังเกิดสงครามการค้าทำให้บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ที่เคยเติบโตอย่างโดดเด่นจะประสบปัญหาการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ
“นักลงทุนควรเริ่มถอยการลงทุนออกมา แล้วมองหุ้นขนาดเล็กและกลางในยุโรปแทน เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่อ้างอิงกับปัจจัยที่ขึ้นกับเศรษฐกิจโลก กองทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็กในยุโรป หรือขนาดทุนบริษัทประมาณ 7 หมื่นถึง 2 แสนล้านบาท เนื่องจากมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต”นายอิริก กล่าว
อย่างไรก็ตามกองทุนได้ลดการลงทุนหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยหันมาเน้นลงทุนหุ้นที่มีรายได้จากกลุ่มประเทศในยุโรปและดูความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัทนั้นๆ ราคาเหมาะสม โดยกลยุทธ์เลือกลงทุนหุ้น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.หุ้นที่สามารถเติบโตเท่าตัวใน 5 ปี ข้างหน้า จะเน้นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดี มีรายได้เติบโตสูง สินทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง 2.หุ้นที่เติบโตเท่าตัวใน 3 ปี ข้างหน้า โดยจะเน้นผลการดำเนินงาน ซึ่งเป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงมีราคาถูก 3.หุ้นที่เติบโตเท่าตัว
ปัจจุบันกองทุนเน้นหุ้นขนาดกลาง-เล็กในยุโรป ลงทุนระยะ 3 ปีขึ้นไปซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ต่อเนื่อง ซึ่งการลงทุน 3 – 5 ปีเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีคุ้มค่ากับความเสี่ยง
อ่านประกอบ