INGRS ลุ้นคว้าออเดอร์ใหญ่ ฮุนได ในอินโดนีเซีย เดินหน้า เซ็นสัญญาพันธมิตรใหม่ เจาะกลุ่มผู้ผลิตรถเกาหลีใต้ ดันรายได้เติบโตต่อเนื่อง
นายฮามิดี บิน เมาลอด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) หรือ INGRS กล่าวว่า บริษัทฯ ได้รุกขยายธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง คาดได้รับออเดอร์ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากค่ายฮุนได นอกจากนี้บริษัท ฯ ได้เซ็นสัญญาพันธมิตรธุรกิจกับบริษัท วูยัง อินดัสตรี เพิ่มเสริมศักยภาพด้านเทคโนโลยี และขยายธุรกิจในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ของเกาหลีใต้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับฮุนได เป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของเกาหลีใต้ มีกำลังการผลิต 250,000-500,000 คันต่อปี โรงงานในอินโดนีเซีย เป็นโรงงานแรกของฮุนไดในภูมิภาคอาเซียน
INGRS เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ชั้นนำของอาเซียน มีฐานธุรกิจและฐานการผลิต 4 ประเทศ ในเอเชีย ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินเดีย และอินโด
ปีนี้คาดว่าผลประกอบการจะเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากได้รับออเดอร์ใหม่จากลูกค้า อีกทั้งเริ่มผลิตชิ้นส่วนรถยนต์โครงการใหม่จากกลุ่มลูกค้า หลายโครงการ ในไทย มาเลเซีย อินเดียและอินโดนีเซีย และรอเสนองานใหม่อีกหลายโครงการ มีโครงการระดับโลกซึ่งมีมูลค่าสูง คาดว่ายอดผลิตชิ้นส่วนให้กลุ่มโปรตอน ซึ่งเป็น 1 ในลูกค้าหลัก จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อรวมกับการผลิตชิ้นส่วนโครงการใหม่ ๆ ให้กลุ่มเพอโรดัว ทำให้บริษัทฯ ย่อย ในมาเลเซีย มีผลประกอบการที่ดีขึ้น
INGRS วางแผนขยายธุรกิจหลายประเทศทั้ง อินเดีย ไทย มาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในอินเดียจะเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาด ขยายฐานลูกค้าผลิตรถยนต์รายใหม่ ๆ เพิ่มเติม เนื่องจาก อินเดีย มีอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีการผลิตรถยนต์ปีละกว่า 5 ล้านคัน เติบโตสูงสุดถึง 9% จากปีก่อน
ปัจจุบันธุรกิจของบริษัท ฯ มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเซ็นสัญญารับออเดอร์ใหม่เพื่อผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทย อินเดีย และอินโดนีเซีย ช่วยผลักดันผลประกอบการให้เติบโตอย่างมั่นคง และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เซ็นสัญญาเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายหุ่นยนต์เทคโนโลยีระดับสูง (COBOT) กับ กลุ่ม Neuromeka (นิวโรเมก้า) จากเกาหลีใต้ เพื่อจำหน่ายในภูมิภาคอาเซียน อินเดีย และประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง และเซ็นสัญญาพันธมิตรด้านเทคนิค สำหรับโครงการผลิตชิ้นส่วนให้ ฮุนได ในประเทศอินโดนีเซียอีกด้วย
ปีที่ผ่านมา 2561 INGRS มีรายได้ 3,199 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 % จากรายได้ 2,913 ล้านบาท ในปีก่อนหน้า โดยเป็นรายได้จากบริษัทย่อยในไทย 38.40 % , มาเลเซีย 49 % อินเดีย 6.6 % และอินโดนีเซีย 6 % กำไรสุทธิ 76.36 ล้านบาท
