จี เจ สตีลฯกำไรดีขึ้น 21 ล้านบาท ไม่รวมรายการพิเศษปีก่อน การผลิตและขายมากขึ้น พัฒนาฝีมือ รอเวลาเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคต
บริษัท จี เจ สตีล (GJS) เปิดเผยผลงานเฉพาะกิจการ งวดไตรมาส1/2561 ว่ามีกำไรสุทธิ 366 ล้านบาท ลดลง 601 ล้านบาทหรือ ประมาณ 62% จากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 967 ล้านบาท
ทั้งนี้หากคิดเฉพาะผลการดำเนินงานปกติ กำไรดีขึ้น 21 ล้านบาท เพราะในไตรมาส 1/2560 บริษัทมีกำไรพิเศษจากการที่เจ้าหนี้ลดหนี้ให้จำนวน 22 ล้านบาทหลังจากชำระหนี้คืนไปบางส่วน
สาเหตุที่ทำให้กำไรดีขึ้น เนื่องจากปริมาณการขายและการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างเป็นสาระสำคัญจากการว่าจ้างบริษัท จี สตีล เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตปกติในช่วงเวลาการใช้ไฟฟ้า off peak โดยเริ่มตั้งแต่ในช่วงกลางไตรมาส 4/2560 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ส่วนราคาขายเฉลี่ยของบริษัท อยู่ที่ 20,810 บาท/ตัน เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาส 4/2560 และเพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาส 1/2560
ขณะที่ราคาขายของเหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มขึ้น 12% เฉลี่ยอยู่ที่ 20,942 บาท/ตัน เป็นทิศทางเดียวกันกับราคาของเหล็กแผ่นรีดร้อนในต่างประเทศ กำไรขั้นต้นของเหล็กแผ่นรีดร้อน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคา) ลดลง 42% อยู่ที่ 1,937 บาท/ตัน เนื่องจากราคาต้นทุนเศษเหล็กเพิ่มมากกว่าราคาขายของเหล็กแผ่นรีดร้อนที่เพี่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มในไตรมาส 2/2561 อุตสาหกรรมเหล็กโดยรวม ขยายตัวในอัตราที่ลดลงตามตลาด เนื่องจากมีช่วงวันหยุดยาวในเดือนเม.ย. และใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรของตลาดที่การบริโภคสินค้าในกลุ่ม
ก่อสร้างรวมถึงอุตสาหกรรมเหล็กจะลดลงเป็นปกติ
อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงการผลิตที่ 15 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อรักษาระดับการผลิตให้คงที่ และเป็นการเตรียมความพร้อมในการขยายกำลังการผลิตเป็น 17 ชั่วโมงต่อวันในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 และขยายเป็น 24 ชั่วโมงต่อวัน ในปี 2562
ส่วนราคาขายเฉลี่ยของเหล็กแผ่นรีดร้อนลดลงเล็กน้อย บริษัทได้ส่งออกสินค้าเพื่อเพิ่มทางเลือกทางการตลาด พัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก และสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ทางด้านต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 52 ล้านบาทเป็น 112 ล้านบาท เป็นผลจากการปรับโครงสร้างหนี้ระยะสั้นเป็นเงินกู้ยืมระยะยาว 5 ปี เพื่อให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องที่ดีขึ้นและมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจได้นานขึ้น ณ สิ้นเดือนมี.ค.2561 บริษัทมีหนี้สินทั้งสิ้น 5,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ส่วนใหญ่หนี้สินหมุนเวียน 4,298 ล้านบาท