HoonSmart.com>> “ราชกรุ๊ป”ประกาศเป็นหุ้นเติบโตสูง-ปันผลดี ผลโรดโชว์สถาบันไทยและต่างประเทศชอบโมเดลธุรกิจ หาโอกาสใหม่จากสาธารณูปโภค เสริมธุรกิจไฟฟ้า ปีนี้ตั้งงบลงทุน 1-2 หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ จบดีลโครงการโรงไฟฟ้า IPP ไฟฟ้าต่างประเทศสรุปไตรมาส 2 ประมาณ 1-2 ดีล ส่วนบ้านปูตั้งงบ 500 ล้านเหรียญบุกธุรกิจแก๊สสหรัฐอเมริกา คาดสรุปลงทุน ปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า สร้างกระแสเงินสดและกำไรทันที ส่วนหุ้นพลังงานในกลุ่มปตท. ยังถูกขายออกมาหนักติดต่อเป็นวันทื่สอง
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป (RATCH) เปิดแถลงข่าวทิศทางธุรกิจ”ราชกรุ๊ป” ในทศวรรษที่ 2 โดยประกาศเป็นบริษัทชั้นนำด้านพลังงานและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หลังจากมองเห็นโอกาสเติบโตจากแผนยุทธศาสตร์ประเทศ และงานในต่างประเทศ โดยตั้งงบลงทุนปีนี้ 1-2 หมื่นล้านบาท สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าในประเทศ ประมาณ 2 โครงการ ซึ่งดีล IPP เจรจาใกล้จะจบแล้ว ส่วนโครงการไฟฟ้าต่างประเทศ คาดจะลงทุนประมาณ 6 โครงการ สรุป 1-2 โครงการในไตรมาส 2 รวมถึงการลงทุนในระบบสาธารณูปโภค
“ราชฯตั้งเป้าหมายปี 2566 มีมูลค่ากิจการ 2 แสนล้านบาท กำลังการผลิตติดตั้ง 10,000 เมกะวัตต์ จากการลงทุนไฟฟ้าและพลังงาน 80% ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน 20% ทำให้ RATCH เป็นหุ้นเติบโตสูง จากที่ผ่านมาเป็นหุ้น defensive stock ผลตอบแทนสม่ำเสมอจากเงินปันผล “นายกิจจากล่าว
ในปีนี้ บริษัทโรดโชว์ในต่างประเทศครบแล้ว และในประเทศ กองทุนทุกแห่งมาพบเพื่อขอข้อมูล ซึ่งทุกรายชอบการขยายธุรกิจของบริษัท ในการเพิ่มการลงทุนในระบบสาธารณูปโภค มองโอกาสระยะยาวที่จะสร้างรายได้ประจำ เนื่องจากโอกาสเกิดโรงไฟฟ้าใหม่ในประเทศมีค่อนข้างจำกัด และการที่หุ้น RATCH ติด MSCI จะมีเม็ดเงินลงทนต่างปรเะทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น
“ราชบุรีมีพันธมิตรที่แข็งแรงและเป็นลูกของกฟผ. ซึ่งกฟผ.มีโอกาสในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ 8 แห่ง ก็เป็นโอกาสของบริษัท ส่วน 6 โครงการที่กำลังศึกษาเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรในต่างประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ลาวและเวียดนาม”นายกิจจา กล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯ มีโอกาสในการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต IOT และโทรคมนาคม จะทำให้บริษัทฯ มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวหน้า
ปี 2562 บริษัทฯ มีโรงไฟฟ้า 3 แห่งที่จะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และรับรู้รายได้ กำลังการผลิตติดตั้งตามการถือหุ้นรวม 179.73 เมกกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คอลลินส์วิลล์ ออสเตรเลีย โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเซเปียน เซน้ำน้อยในสปป.ลาว ส่วนโครงการที่อยุ่ระหว่างการก่อสร้างอีก 4 โครงการรวม 488.79 เมกะวัตต์
“ทุกปีบริษัทฯ จะต้องเพิ่มกำลังการผลิตอย่างน้อย 700 เมกะวัตต์ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าที่จะหมดไป 7-8 ปี โดยปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 6,860.34 เมกะวัตต์ และปีนี้จะรับรู้รายได้ 179.73 เมกะวัตต์และกำลังพัฒนา 486.79 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานมีรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง น้ำประปาที่ลาว ส่วนการบริหารการจัดการน้ำกำลังคุยกับพันธมิตรในอาเซียน”นายกิจจา กล่าว
นางวดีรัตน์ เจริญคุปต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน RATCH คาดว่า กำไรสุทธิจะเติบโตกว่าระดับ 5,590 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้รับรู้กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ในมือที่จะทยอยเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ 3 แห่ง การ่วมลงทุนหรือซื้อกิจการ ส่วนแผนการลงทุน 1-2 หมื่นล้านบาท บริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน ปัจจุบันมีดี/อีเพียง 0.5 เท่า สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ หรือออกตราสารหนี้ แต่ในปีนี้ยังไม่จำเป็นต้องออกหุ้นกู้
ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ทั้งสกุลเงินบาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3% ต่อปี และสกุลต่างประเทศ ดอกเบี้ยเฉลี่ย 5% สถาบันทั้งไทยและต่างประเทศหลายแห่งเสนอให้บริษัทกู้ RATCH ได้รับการจัดอันดับเครดิตเท่ากับประเทศ โดยสถาบันชั้นนำของโลก ส่วนการนำเสนอข้อมูลหรือโรดโชว์ให้กองทุนต่างประเทศ ที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ มีหลายกองทุนชั้นนำของโลกเข้าร่วมงาน อาทิ เจพี มอร์แกน ,มอร์แกนสแตนเลย์ ,ไดวา ,โนมูระ ,MUFC
สำหรับบริษัทบ้านปู (BANPU) นาง สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ให้ข้อมูลนักวิเคราะห์และนักลงทุนว่า ธุรกิจแก๊สที่บริษัทลงทุนในสหรัฐ เป็นพระเอกในการสร้างกำไรและกระแสเงินสดทุกไตรมาส นับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป เพราะมีความต้องการสูง รวมถึงสหรัฐมีการลงทุนท่อแก๊สใหม่ในปี 2562-2564 เป็นโอกาสให้บ้านปูเพิ่มกำลังการผลิตและลงทุนในธุรกิจท่อแก๊ส โดยปีนี้ตั้งงบลงทุนธุรกิจแก๊สจำนวน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสรุปได้ในครึ่งปีหลังหรือต้นปีหน้า จำนวน 1-2 แหล่ง มีปริมาณสำรอง 1 แสนล้านล้านลูกบาศก์ฟุต โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 200-500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มกำลังการผลิตเท่าตัว ส่งผลต่อการดำเนินงานในปีหน้า
“ธุรกิจแก๊สมีท่อส่งอยู่แล้ว และไม่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เราลงทุนไปแล้วรับกำไรทันทีจากการผลิตที่มีต้นทุนต่ำค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม และมีอัตรากำไรสูง เพราะไม่มีต้นทุนในการขนส่ง ก่อนหน้านี้ลงทุนไปแล้ว 525 ล้านเหรียญ ได้ EBITDA มา100 ล้านเหรียญ คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 25% มองเห็นโอกาสจากธุรกิจแก๊สยังมีอีกมาก ตลาดเอเชียยังมีความต้องการสูง ตอนนี้เราเน้นต้นน้ำคือการผลิต ต่อไปก็มีโอกาสลงทุนธุรกิจท่อแก๊ส ส่วนโรงไฟฟ้าใช้พลังงานแก๊สให้ BPP ลงทุน “นางสมฤดีกล่าว
บริษัทมีการวางแผนทางการเงินไว้พร้อมสำหรับการขยายการลงทุนและจ่ายเงินปันผล นอกจากมีกระแสเงินสดในแต่ละปี บริษัทเพิ่งประสบความสำเร็จในการออกและเสนอขายหุ้นกู้มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี โดยมีผู้แสดงความสนใจซื้อหุ้นกู้ล้นถึง 2 เท่า
ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายถ่านหิน ไตรมาส 2 จะมีการผลิตมากขึ้นกว่าไตรมาส 1 ขณะที่ราคาขายทรงตัว ทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้น ส่วนธุรกิจอื่น ดำเนินงานตามแผนงาน เช่นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน เพื่อสร้างการเติบโตและยั่งยืนในระยะยาว
ทางด้านหุ้นพลังงานในกลุ่มปตท.ที่ปรับตัวลงแรง เมื่อวันที่ 22 พ.ค. หลังจากเครดิตสวิส ปรับลดน้ำหนักการลงทุนและลดราคาเป้าหมาย ในวันที่ 23 พ.ค. ยังคงมีแรงขายหุ้นออกมาอีกมาก ทำให้ PTTGC ปิดที่ 60 บาท รูดลง 2 บาทหรือ 4% TOP ปิดที่ 59 บาท ร่วง 1 บาทหรือ 2.48% และ IRPC ปิดที่ 4.60 บาท ลดลง 0.14 บาทหรือ 2.95% ส่งผลกระทบต่อตลาดโดยรวม ดัชนีปิดที่ระดับ 1,609.79 จุด ติดลบ 17.12 จุด หรือ 1.05% ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 47,047 ล้านบาท