BTS-U-VGI พร้อมใจลงทุน สูตรโต! ซื้อมา-ขายไป-แลกหุ้น

HoonSmart.com>>ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (22-26 เม.ย.2562) กลุ่มบีทีเอสเดินหน้าขยายอาณาจักรพร้อมกัน 3 ดีล ใช้เงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท

เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS)เข้าไปถือหุ้น 8.32% ในบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE)เป็นเงินประมาณ 135 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อการบริหารเงินออมของทางกลุ่มบีทีเอส

วันที่ 25 เม.ย.2562 บริษัทยู ซิตี้ (U) มีมติให้บริษัทซื้ออาคารสำนักงานติดกับสถานี BTS เพลินจิต มูลค่า 800 ล้านบาท ประโยชน์ที่ได้รับ นอกจากได้สินทรัพย์ที่เป็นอาคารสำนักงาน และที่จอดรถ 125 คันแล้ว บริษัทยังได้สัญญาการเช่าของผู้เช่าระยะเวลา 15 ปี คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 7% หรือประมาณ 56 ล้านบาท/ปี ด้วย

และวันที่ 26 เม.ย. บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย (VGI) ลงทุน 100 ล้านบาท ซื้อหุ้นจำนวน 25.01% ของบริษัท แอดซ์ เจ้าพระยา (ACP)เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการสื่อโฆษณาแต่เพียงผู้เดียวในเรือโดยสาร เรือด่วน เรือข้ามฟาก เรือท่องเที่ยวที่สัญจรในแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นผู้บริหารสื่อโฆษณาทุกประเภท ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ตามท่าเรือต่างๆ ริมแม่น้ำ

กลุ่มบีทีเอสฯ แบ่งธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ธุรกิจระบบขนส่งมวลชนนำโดย BTS 2.ธุรกิจสื่อโฆษณานำโดย VGI 3.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นำโดย U และ 4.ธุรกิจบริการจากบริษัทแรบบิท รีวอร์ดส และบริษัทเชฟแมน ซึ่งมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะบีทีเอส ที่ร่วมกับพันธมิตรหลากหลายในการประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ ไม่ได้จำกัดเฉพาะการเดินรถไฟฟ้าสีต่างๆอีกต่อไปแล้ว

บริษัทขยายโอกาสไปประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก ร่วมกับ บริษัท การบินกรุงเทพ(BA) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) และเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ได้แก่ สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอู่ตะเภา ร่วมกับ STEC และ บริษัท ราช กรุ๊ป (RATCH)

ขณะเดียวกันการเป็นโฮลดิ้งของบีทีเอส ถือหุ้นใหญ่บริษัทในกลุ่ม ทั้ง VGI และ U รวมถึงบริษัทในกลุ่มบริการ เมื่อลูกแข็งแรง แม่ก็มีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย รวมถึงยังมีโอกาสขายลูก-หลาน ทำกำไร เพื่อนำเงินไปลงทุนต่อในธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสมากกว่าแทน

บีทีเอสขายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการให้กับ U เกิดกำไรพิเศษ  และถือโอกาสจัดกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ชัดเจน ส่งผลให้บริษัทลูกมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นด้วย

U จัดโครงสร้างธุรกิจเสร็จเรียบร้อย ไม่อยากทุ่มงบลงทุนก้อนโตพัฒนาที่ดินหมอชิต ถือโอกาสขายหุ้นบริษัท หมอชิตแลนด์ จำกัด ให้กับ บริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น มูลค่า 4,320 ล้านบาท คาดว่าจะบันทึกกำไรประมาณ 1,600 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2562 นำเงินไปลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ หรือร่วมทุนธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ ปัจจุบันกำลังเจรจาซื้อโรงแรมในเยอรมันเพิ่มเติมอีก 19 โรงแรม คาดว่าจะได้ข้อสรุปต้นเดือน พ.ค.นี้ สร้างรายได้ประจำที่แน่นอนดีกว่า  เข้าเป้าหมายสร้างอัตราผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเฉลี่ย 7% ต่อปี ในระยะเวลา 5 ปี

ส่วนลูกรักของบีทีเอส VGI ต่อยอดธุรกิจมากกว่าสื่อโฆษณา และสร้างความฮือฮาในการซื้อบริษัท แพลน บี มีเดีย(PLANB)จำนวน 18.59% ร่วมมือกันคุมตลาดโฆษณาประชาสันพันธ์ทั้งสื่อนอกบ้านและในบ้าน โดย VGI มีการลดสัดส่วนการลงทุนในประเทศมาเลเซีย ขายหุ้น บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย(มาเลเซีย)ให้บริษัท มาสเตอร์ แอด ลงทุนแทน

VGI มีการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว เพราะมีกระแสเงินสดเข้ามาทุกปี พร้อมจะใช้เงินสดลงทุนต่อยอดธุรกิจใหม่ ที่สำคัญใช้หุ้น VGI แลกกับหุ้นของพันธมิตรหลายดีล เช่น บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) และดีลล่าสุด ซื้อหุ้นจำนวน 25.01% ของบริษัท แอดซ์ เจ้าพระยา (ACP) มูลค่า 100 ล้านบาท ชำระเป็นเงินสด  50 ล้านบาทที่เหลือแลกหุ้นให้บริษัท Silver Pendulum ที่มี “สุภาพรรณ พิชัยรณรงค์สงคราม”เข้ามาถือเกือบ 5 ล้านหุ้น ทำให้ VGI ขยายธุรกิจสื่อโฆษณาแต่เพียงผู้เดียวในเรือที่สัญจรในแม่น้ำเจ้าพระยา

ความแข็งแรงของกลุ่มบีทีเอสคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2560/2561(1เม.ย.2561-31มี.ค.2562)จะมีรายได้รวมทั้งสิ้น 14,102 ล้านบาท ส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วน 65%มาจากธุรกิจระบบขนส่งมวลชน คาดว่าจะมีรายได้จำนวน 9,112 ล้านบาท พุ่งขึ้น 115% จากปีก่อนหน้า หลักๆมาจากรายได้บีทีเอส คือ 5,795 ล้านบาท และกำไรจากการลงทุนใน BTSGIF จำนวน 949 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจสื่อโฆษณาสร้างรายได้สัดส่วน 28% จำนวน 3,902 ล้านบาท เติบโต 30% สำหรับรายได้จากอสังหาฯ สัดส่วน 4% ดีขึ้น 4% เป็น 639 ล้านบาท และบริการมีสัดส่วน 3% แต่รายได้ทรุดลง 40% เหลือจำนวน 449 ล้านบาท

สรุปโดยรวม โครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบีทีเอส จะสามารถสร้างกำไรสุทธิถึง 5,100 ล้านบาทปี 2564/2565 หรือเติบโตเฉลี่ย 29% นับจากปัจจุบัน  ส่วนรายได้เติบโตเฉลี่ย 31% อยู่ที่ 31,800 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมการลงทุนใหม่ๆ ที่บริษัทกำลังลุ้นผลการประมูลโครงการขนาดใหญ่หลายโปรเจกต์!!!