TOP เดินหน้าโครงการ CFP ตัดขายบางส่วนลดภาระ

HoonSmart.com>>ไทยออยล์เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่น ลงทุนโครงการพลังงานสะอาด คาดเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ปี 2566 ผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ตัดขายหน่วยผลิตพลังงานให้ GPSC ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท ช่วยลดภาระทางการเงินกู้

นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ (TOP ) เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนผลิตน้ำมันสำเร็จรูปที่มีกำมะถันต่ำลดลง โดยจะดำเนินการโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project :CFP) มูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วัน คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2566 รองรับกรณีองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% จาก 3.5% ในปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างปีนี้ถึงปลายปี 2565 ก่อนโครงการ CFP แล้วเสร็จ บริษัทจะปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันเพื่อให้มีการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปกำมะถันต่ำคู่ขนานกันไปด้วย รวมถึงจะมีการปรับการนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อปรับสัดส่วนการผลิตน้ำมัน ทำให้มีปริมาณน้ำมันเตาออกมาไม่มาก ลดผลกระทบจากราคาน้ำมันเตากำมะถันสูงที่อาจจะมีราคาลดลงจากเกณฑ์ใหม่ของ IMO และกลั่นน้ำมันดีเซลได้ในปริมาณที่มาก ได้ประโยชน์จากราคาดีเซลที่คาดว่าจะสูงขึ้นจากความต้องการใช้ที่มากขึ้น

” ต่อไปจะไม่มีผลผลิตน้ำมันเตาที่มีมาร์จิ้นต่ำออกมาเลย จากปัจจุบันที่มีน้ำมันเตาอยู่ราว 7% ส่วนน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซล จะเพิ่มเป็น 70% จากเดิม 60% น้ำมันเบนซินจะลดลงจากปัจจุบันอยู่ที่ 15%”นายอธิคมกล่าว

สำหรับการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ในวันที่ 10 เม.ย. 2562 ผู้ถือหุ้นอนุมัติการขายทรัพย์สินเพื่อโอนกรรมสิทธิ์หน่วยผลิตพลังงาน (Energy Recovery Unit:ERU) ในโครงการ CFP ให้กับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มูลค่าไม่เกิน 757 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะโอนได้ในไตรมาส 3/2566 ช่วยลดภาระเงินลงทุนโครงการ CFP อยู่ที่ 4.07 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมประมาณ 4.83 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มสภาพคล่องเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต ช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทนการลงทุนเป็น 12.57% จากแผนเดิมที่ 12.1%

นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี TOP กล่าวว่า การจะโอนหน่วย ERU ให้ GPSC จะช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงิน หากลงทุนเอง อาจก่อหนี้เพิ่มเป็นภาระต้นทุนทางการเงิน อาจจะกระทบต่อการจัดอันดับเครดิต บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)ประมาณ 600-800 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี

ส่วนแนวโน้มผลงานในไตรมาส 1/2562 คาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน หลังจากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยเดือนมี.ค.ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 67 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากสิ้นปี 2561 ที่อยู่ระดับ 57 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนผลกระทบตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายในไตรมาส 2/2562 บริษัทจะมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานในไตรมาสนี้ ประมาณ 300 ล้านบาท จากพนักงานของกลุ่มที่มีอยู่ทั้งหมด 1,400 คน