การเมืองเรื่องใกล้ตัว : วุ่นวายต่อไปไม่รู้จบ

โดย…อุเทน ชาติภิญโญ


ผลจากการเลือกตั้ง ตามที่ทราบกันดีแล้วว่า “ ก้ำกึ่ง “ จึงยากที่จะตั้งรัฐบาล ซึ่งมีผลทวีคูณขึ้นและอาจสร้างความสับสนวุ่นวายเพิ่มมากขึ้นตามมา มีทั้งการกล่าวหา ร้องเรียน แจ้งความเอาผิดกันในหลายฝ่าย ทั้งจากฝ่ายการเมือง ฝ่ายสนับสนุนและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง

กลายเป็นปัญหาเรื่องความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล ระหว่างพรรคที่ได้คะแนนมากที่สุดกับพรรคที่ได้จำนวน ส.ส.มากที่สุด โดยที่ต่างฝ่ายต่างมีคะแนนปริ่มน้ำทั้งคู่ กำลังนำไปสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่ในบ้านเมืองอีกครั้ง

ไม่ได้จำกัดแค่ชัยชนะเพื่อการจัดตั้งรัฐบาล แต่บานปลายถึงขั้นแตกหักเพื่อล้มอีกขั้วหนึ่ง โดยมีวาทกรรม “เผด็จการ” กับ “ประชาธิปไตย” เพื่อแบ่งแยกประชาชน

สถานการณ์ดูจะล่อแหลมขึ้นทุกขณะ ความเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่ายไม่มีทีท่าประนีประนอมต่อกัน จนน่าหวาดหวั่นว่า ประเทศไทยที่สงบมาร่วม 5 ปี กำลังจะวนไปสู่ลูปเดิมที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และส่อเค้าจะรุนแรงกว่าเดิม

สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เหมือนหนังม้วนเดิม โดยเริ่มจากการผลิตวาทกรรมเพื่อทำลายอีกฝ่าย พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกมองว่า เอาเปรียบคู่แข่งมาในสนามเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นกติกา กลไก ตลอดจนกองทัพ และมีองค์กรอิสระ ที่คอยสนับสนุน จึงถูกจ้องจับผิดทุกย่างก้าว

มีการหยิบยกความผิดปกติในการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาแทบจะรายวัน เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้มีความอิสระอย่างแท้จริง แต่ถูกแทรกแซงโดยผู้ที่มีอำนาจรัฐ

มีการล่ารายชื่อถอดถอน กกต.ชุดปัจจุบัน ผ่านการเคลื่อนไหวภาคประชาชน เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการจัดการเลือกตั้งที่ถูกมองว่ามีความโน้มเอียงหรือเข้าข้างพรรคพลังประชารัฐ

มีการขุดคุ้ยพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของบุคคลในรัฐบาล ที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ และแสดงถึงความไม่ไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อ

แต่ความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นเหล่านี้ ถูกมองว่า มีฝั่งตรงข้ามพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้สนับสนุนและอยู่เบื้องหลังทำให้เกิดการต่อต้าน

เฉกเช่นเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามของพรรคพลังประชารัฐ พวเขาก็รู้สึกว่า กำลังถูกอีกฝ่ายคุกคามและจ้องทำลายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่มีการขุดคุ้ยการถือครองหุ้นสื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ร้ายแรงถึงขั้นไม่สามารถเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ เพราะเข้าข่ายมีคุณสมบัติต้องห้าม

เรื่องหุ้นนี้เอง ยังมีการนำนายธนาธรไปเปรียบเทียบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยถูกดำเนินคดีในเรื่องการถือครองหุ้น จนไม่สามารถอยู่ในประเทศได้

รวมถึงการดำเนินคดีตามมาตรา 116 ต่อนายธนาธร จากกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของนักศึกษาที่ออกมาต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งแต่ปี 2558 แต่เพิ่งมีการออกหมายเรียกนายธนาธร อันเป็นบุคคลซึ่งดูจะเป็นความหวังของฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย

การให้นายธนาธรขึ้นศาลทหาร ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยผ่านการเลือกตั้ง และมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ใช้แล้ว ทั้งที่สามารถพิจารณาในศาลยุติธรรมปกติได้ ซึ่งทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนนายธนาธรมองว่า เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองมากกว่า โดยซีกฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็มีเสียงอ้างกล่าวว่าเหตุที่กระทำผิดนั้นเกิดขึ้นก่อน ตั้งแต่ปี 2558 จึงต้องขึ้นศาลทหาร

ไม่ใช่เพียงแค่นายธนาธรเท่านั้น แต่นายปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นบุคลากรในพรรคที่มีบทบาทสำคัญก็ดูเหมือนจะถูกพุ่งเป้าไม่น้อยไปกว่ากัน หลังมีการขุดชุดแนวความคิดในอดีตต่อสถาบันหลักพระมหากษัตริย์ของนายปิยะบุตรต่อเนื่อง

เริ่มมีการใช้วาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง และสร้างความอ่อนไหวในสังคม เช่น ไม่จงรักภักดี, ล้มเจ้า, ฝ่ายขวา – ฝ่ายซ้าย ซึ่งนายปิยะบุตรกำลังตกอยู่ในสภาวะดังกล่าว

มีการล่ารายชื่อกันไปกันมาเพื่อตอบโต้กัน และแสดงพลังของแต่ละฝ่าย ทั้งการล่ารายชื่อถอดถอน กกต. ล่ารายชื่อถอดถอนชื่อ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ล่ารายชื่อถอดถอนรัฐบาล ตลอดจนล่ารายชื่อถอดถอนนายปิยะบุตร โดยข้ออ้างว่าเป็นบุคคลอันตรายต่อประเทศจากแนวความคิดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ในอดีต

ไม่เพียงเท่านั้น ยังเริ่มมีการนำองค์กรต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อกดดันอีกฝั่ง อันเป็นปัจจัยที่ล้วนเคยเกิดขึ้นก่อนความขัดแย้งที่รุนแรงเหมือนในอดีตทั้งสิ้น

พัฒนาการการเมืองไม่ได้จำกัดวงแค่การแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองสองขั้วอำนาจ แต่กำลังเลยเถิดสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของคนในชาติ ไม่มีวี่แววว่า เรื่องจะได้รับการคลี่คลายหรือประนีประนอมต่อกันเพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้อย่างสงบสุขและสันติ

มีแต่ปัจจัยที่จะทำให้เราเดินไปสู่จุดที่จะต้องสูญเสีย จากการแย่งชิงอำนาจทั้งสิ้น ซึ่งน่าหวั่นใจเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลา 1 เดือนนี้ ประเทศไทยกำลังจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันสำคัญยิ่งต่อชนชาวไทย

ดังนั้น ด้วยเหตุนี้ เหนือสิ่งอื่นใดทุกฝ่ายควรต้องลดละความบาดหมางขัดแย้ง และสมัครสมานสามัคคีร่วมกันเป็นเจ้าภาพงานพิธีพระบรมราชาภิเษก เพื่อให้สมพระเกียรติพระองค์ท่านมากที่สุด เพื่อเป็นหน้าตาของประเทศไทยอีกด้วย.