โบรกนอกแนะยังไม่ต้องรีบเข้าหุ้นไทย รอดูโฉมหน้ารัฐบาล 3 วัน

HoonSmart.com>>ดัชนีหุ้นร่วงแรงตามคาด 1.24% แต่ดีกว่าภูมิภาค เซ่นพิษเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โบรกเกอร์ต่างประเทศ แนะยังไม่ต้องรีบเข้ามาลงทุน มอร์แกนแสตนเล่ย์จับตา 72 ชั่วโมง เห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ ส่วนโกลด์แมนแซคส์ประเมิน 2 แนวทาง ชี้นำเงินทุนไหลเข้า-ออก ซีแอลเอสเอ ยืนเป้าหมายสิ้นปี 1,800 จุด “ภากร”ขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาลงหุ้นพื้นฐาน บล.กสิกรไทยชวนขายทำกำไร รอช้อนของดีราคาต่ำไตรมาส 2 บล.ทิสโก้มองบวก

บรรยากาศตลาดหุ้นหลังวันเลือกตั้ง วันที่ 25 มี.ค. มีแรงขายตั้งแต่เปิดตลาด โดยเฉพาะช่วงบ่ายที่ตลาดหุ้นยุโรปเปิดทำการ และผลเลือกตั้งส.ส.ยังไม่ชัดเจน กดดันให้ตลาดรูดลงหนักกว่า 28 จุด ก่อนฟื้นมาปิดติดลบ 20 จุด หรือ 1.24% ถือว่าปรับตัวน้อยกว่าตลาดหุ้นในเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นทรุดหนักกว่า 3 % จากความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อในสัปดาห์ที่ผ่านมา พลิกกลับมาขายสุทธิ 1,642 ล้านบาท และขายในตลาดล่วงหน้าถึ 16,356 สัญญา เช่นเดียวกันสถาบันในประเทศก็ทิ้งออกมา 856 ล้านบาท รายย่อยกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิถึง 3,687 ล้านบาท

นักวิเคราะห์มอร์แกนแสตนเล่ย์ ให้คำแนะนำการลงทุนเช้าวันที่ 25 มีนาคมว่า จากการผลการนับคะแนนเบื้องต้น นักลงทุนต่างชาติยังไม่ต้องรีบร้อนเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะยังไม่มีพรรคใดที่ได้คะแนนเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร โดยต้องจับตาว่าจะมีพรรคใดเข้าร่วมในอีก 72 ชั่วโมง ขณะที่ยังคงคำแนะนำลงทุนเท่ากับตลาด และให้น้ำหนักกลุ่มส่งออก รวมถึงกลุ่มพลังงานและวัสดุก่อสร้าง มากกว่ากลุ่มที่มีฐานรายได้ในประเทศ กลุ่มธนาคารและบริโภคอุปโภค

ทางด้านโกลด์แมนแซคส์ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าพรรคใดจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล คาดว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ผลการเลือกตั้งมองเป็น 2 มุม กรณีแรก หากผลการเลือกตั้งชัดเจน ถูกกฎหมายและประชาชนยอมรับ ในด้านนัยะต่อเศรษฐกิจ ก็จะทำให้ภาคธุรกิจและผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น การเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจจะเป็นไปตามที่ประมาณการไว้ แต่มีความเสี่ยงด้านสูง หากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ส่วนความเสี่ยงด้านต่ำคือ รัฐบาลผสมไม่มีเสถียรภาพ นอกจากนี้การเกินดุลเกินสะพัดจะลดลงจากที่มีการลงทุนเพิ่มขึ้น

สำหรับผลด้านตลาดเงินนั้น ค่าเงินจะแข็งค่าขึ้นในระยะสั้นจากเงินไหลเข้าตลาดหุ้น แต่ในระยะปานกลางจะอ่อนค่าเพราะการเกินดุลเดินบัญชีเดินสะพัดจะลดลง จากการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อการดำเนินโครงสร้างพื้นฐาน อาจจะส่งผลให้รัฐวิสาหกิจต้องออกตราสารหนี้เพื่อระดมเงินจำนวนมหาศาล

กรณีที่สองหากยังสรุปผลการเลือกไม่ได้และมีการกล่าวหากันไป ภาคธุรกิจและผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นลดลง จะมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ มีเงินไหลจากตลาดหุ้น รวมทั้งการต่อเนื่องถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะธุรกิจและผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายจนกว่าจะมีความชัดเจน นอกจากนี้มีแนวโน้มเงินลงทุนโดยตรงและเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจะไหลออก ตลอดจนธนาคารแห่งประเทศไทยจะหันมาดำเนินโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจนกว่าสถานการณ์จะมีเสถียรภาพ

นัยะต่อตลาด ระยะสั้นเงินทุนจะไหลออก แต่ในระยะปานกลางอนาคตของรัฐบาล และความต้องการในประเทศที่ชะลอตัวมากจะหนุนเงินบาท

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอาจจะกระตุ้นให้ ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่หนุน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด อาจจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด ประกอบกับแนวโน้มการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้

กรณีนี้คาดแนวโน้มดอกเบี้ยว่าจะอยู่ที่ระดับต่ำมากอีกนาน แบงก์ชาติจะดำเนินโยบายแบบระใดระวังขึ้นก่อน ขณะที่ภาคธุรกิจชะลอการออกหุ้นกู้

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) คาดว่านักลงทุนต่างชาติ ยังไม่เข้ามาลงทุนหุ้นไทย เพื่อรอดูการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ รวมถึงนายกรัฐมนตรีและเสถียรภาพของรัฐบาล แนวโน้มตลาดยังมีความผันผวน จะกลับมาดีขึ้นเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว ได้รัฐบาลผสม เสถียรภาพของรัฐบาลก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่น่ากังวล

อย่างไรก็ตาม ยังคงเป้าดัชนีหุ้นปีนี้เหนือกว่า 1,800 จุด จากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งเฟดที่ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย และสงครามการค้าที่มีแนวโน้มดีขึ้น ขณะที่การเมือง ถือเป็นปัจจัยรองที่สนับสนุน

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า หุ้นที่ลดลงเป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก จากความกังวลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก

อย่างไรก็ตามเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันแข็งแกร่ง ในส่วนตลาดทุนไทย บริษัทจดทะเบียนไทยมีศักยภาพในการเติบโต

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานที่ดีและมีแนวโน้มการเติบโต และติดตามปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ส่งผลต่อการลงทุน

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย กล่าวว่า รอบนี้คาดว่าดัชนีไปได้ที่จุดสูงสุดเดิม 1,670 จุด แนะนำนักลงทุน น่าจะลดพอร์ต เพราะหุ้นขึ้นมาจากการเก็งกำไรเท่านั้น แนวโน้มตลาดหุ้นระยะกลางถึงยาว ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะไตรมาส 2 น่าจะชะลอตัวลง ค่าเงินบาทจะอ่อน และการเมืองท้าทายมาก เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป ไม่ค่อยดี ตอนนี้อิตาลีอยู่ในภาวะเศรษฐกิจหดตัวเรียบร้อยแล้ว เศรษฐกิจโลกจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่าการเมือง

“กลยุทธ์น่าจะลดพอร์ต ถือเงินสด รอจังหวะไตรมาส 2 ซื้อหุ้นดีราคาถูก ให้ราคาปรับตัวลงมาก่อน เช่น AOT,BDMS และ แบงก์”นายกวีกล่าว

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยลดลงน้อยกว่าภูมิภาค มองหุ้นจะฟื้นมากกว่าฟุบ จึงเป็นโอกาสลงทุน แต่จะชัดเจนมากขึ้นหากเห็นการฟอร์มทีมรัฐบาล เศรษฐกิจยังขยายตัว หุ้นกลุ่มธนาคารเติบโตตามจีดีพี กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมก็ยังน่าสนใจ รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจจึงยังเป็นกลุ่มที่ลงทุนได้

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ยังคงมองเป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ 1,750-1,800 จุด โดยครึ่งปีหลังตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้ง แต่จะถึงแสนล้านบาทตามที่ประเมินก่อนหน้านี้หรือไม่นั้นยังคงต้องรอความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล