ตปท.ไม่รีบซื้อหุ้น คาดรัฐบาลอยู่ไม่นาน แนะหาที่ลงทุนล็อกผลตอบแทนสูง

HoonSmart.com>>นักลงทุนต่างชาติอ่านการเมืองไทยขาด ไม่ต้องรีบซื้อหุ้น สถานการณ์คาดคะเนยาก รัฐบาลอยู่ไม่ได้ “ก้องเกียรติ”แนะมองมองหาโอกาสลงทุนสหรัฐ บล.เอเซียพลัสคาดดัชนีขึ้นอีกไม่มาก เจอ 2 ปัจจัยกดดันกำไรบจ.ปี 62 ดอกเบี้ยโลกต่ำอีกนาน เฟ้นหาหุ้นปันผล ศึกษาตราสารลงทุนใหม่ๆ อ้างอิงหุ้นต่างประเทศ ล็อกผลตอบแทนสูงไว้ก่อน “สุระ”บิ๊ก COM7 ชวนหาหุ้นชั้นดี ราคาต่ำเก็บไว้

นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานสัมมนา ASP DAY “เปิดโลกทัศน์การลงทุน ฟังมุมมองและกลยุทธ์เจาะลึกการลงทุนหลังเลือกตั้งปี 62 ” ของบริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซียพลัส ว่า ผู้จัดการกองทุน และเฮดจ์ฟันด์ รู้และเข้าใจการเมืองไทยดี จึงคาดว่านักลงทุนต่างประเทศไม่น่าจะกลับมาลงทุนในหุ้น เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่นาน คาดคะเนสถานการณ์ไมได้ แนวโน้ม 18 เดือนข้างหน้า จะต้องระหกระเหิน แต่ต่างชาติไม่ทิ้งไทย เพราะมีพื้นฐานดีเป็นทุนเดิม เพียงแต่ชะลอดูความชัดเจน นอกจากนี้ยังมีคำถามว่าการลงทุนอะไรบ้างที่รัฐบาลใหม่จะทำต่อเนื่อง คาดว่าโครงการ EEC ทำต่อ สำหรับโครงการรถไฟความเร็วเชื่อม 3 สนามบิน ผมคิดว่ายกเลิกการลงทุน

ส่วนการลงทุนโดยตรง บริษัทข้ามชาติมีทางเลือกมากขึ้น เช่นย้ายไปเวียดนาม ซึ่งมีข้อดีเรื่องรัฐบาลและนโยบายมีความชัดเจน ตลาดมีขนาดใหญ่ ประชากร 90 ล้านคน มูลค่าจีดีพีเกินครึ่งของไทย แต่มีอัตราการเติบโตเกือบ 2 เท่า

” รัฐบาลใหม่ไม่มีเสถียรภาพ จะเดินหน้าลำบาก รัฐธรรมนูญที่ออกมาไม่สมประกอบ ไม่กลมกล่อม ไม่มีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยจะออกจากวังวนเดิม รอบนี้ไม่เหมือนเดิม คือ เลือกตั้ง ประท้วง แก้รัฐธรรมนูญ แต่จะต้องหาสมดุลใหม่ ต้องหาวิธีที่จะคุยกัน ปรองดอง มีกติกาที่ต่างฝ่ายต่างยอมรับกันได้ “นายฐิตินันท์กล่าว

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า นักลงทุนต้องเปิดใจให้กว้าง ต้องเปิดการลงทุนออกไปข้างนอก ดูบริษัทดีๆ โดยยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นสหรัฐ ส่วนจีนแม้ว่ากำลังใหญ่ขึ้น แต่การนำเงินทุนเข้าออกยังไม่เสรี คนหนีไปลงทุนฮ่องกงแทน ทางฝั่งยุโรปก็ยังไม่ดี

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะต่ำอีกนาน หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(OECD)ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้าลง และ ล่าสุดธนาคารกลางยุโรป( ECB)ปรับลดการณ์เศรษฐกิจยุโรปจากขยายตัว 1.7% เหลือ 1.1%

ส่วนเศรษฐกิจไทยคาดเติบโต 3.5% เดิมคาดไว้ 4-4.5% เนื่องจากส่งออกคาดไม่โต หรือโต 0.5%ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ แรงขับเคลื่อนมาจากในประเทศ ไม่ว่าพรรคไหนมาเป็นรัฐบาล ใช้มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ และเอกชนมีการลงทุนเข้ามาช่วย

ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยกล่าวว่า แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในปี 2562 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการใช้พรบ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ กรณีเงินชดเชยพนักงานที่มีอายุมากกว่า 20 ปี ถ้าอยู่จนเกษียณอายุ บริษัทต้องชดเชยเพิ่มขึ้นจาก 300 วัน เป็น 400 วัน ผลประโยชน์ของพนักงานจะปรับเพิ่มขึ้น 2.7-2.8 หมื่นล้านบาท และเงินบาทแข็งค่ากระทบต่อกำไรของบริษัทที่ทำธุรกิจส่งออก ตลาดโดยรวมกำไรต่อหุ้นลดลงจากเดิม 112.20 บาท คาดการณ์เบื้องต้นอยู่ที่ 104-106 บาท ถ้าเทรดที่พี/อี 16 เท่า ดัชนีหุ้นไม่ถึง 1,700 จุด ตอนนี้มี upside จำกัด

แนวโน้มดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำอีกนานพอสมควร ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่ล็อกผลตอบแทนสูงไว้ก่อน ซึ่งมีเครื่องมือใหม่ เช่น ELN (Equity Linked Note) คือ หุ้นกู้อนุพันธ์ที่อ้างอิงราคาหุ้นต่างประเทศ และ FCN(Fixed Coupon Note) หุ้นกู้อนุพันธ์ที่อ้างอิงราคาหุ้นต่างประเทศ และมีการจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน เช่นหากกำหนดราคาหุ้นที่ 100 บาท เมื่อถึงวันหมดอายุ ราคาลดลงต่ำกว่านั้น นักลงทุนก็จะได้สิทธิซื้อหุ้นในราคาต่ำ แต่ถ้าราคาหุ้นอยู่ที่ 100 บาทหรือสูงกว่านั้น ก็จะได้รับเงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย

สำหรับนักลงทุนที่ซื้อทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(กองรีท)จะต้องระมัดระวัง เช่นกองที่อ้างอิงศูนย์การค้า ราคาสูงกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิ(NAV) บางกองสูงกว่าราคาตลาด 70-80% และต้องระวังเรื่องสภาพคล่องน้อยมาก

นายเทิดศักดิ์แนะนำว่า ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ สำหรับพอร์ตลงทุนระดับกลาง แนะนำให้ลงทุนตราสารหนี้ 25% กองทุนตลาดเงิน 5% หุ้นไทย 40% ตราสารหนี้ล็อกผลตอบแทน ELN,FCN ประมาณ 5-10% อยากให้ลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากกว่านี้ แต่นักลงทุนหลายคนยังไม่คุ้นเคย

“นักลงทุนอย่าไปจมในหุ้นอย่างเดียว เพราะความเสี่ยงสูงเกินไป ผลตอบแทนอาจจะไม่คุ้ม เปิดความคิดกับการลงทุนในตราสารการเงินใหม่ ๆ และต่างประเทศด้วย” นายเทิดศักดิ์กล่าว

ส่วนกรณีที่จะมีรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าพรรคไหนเข้ามาก็จะมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคการลงทุนในประเทศ เป็นผลดีต่อหุ้นค้าปลีก เช่น BJC และรับเหมาก่อสร้าง ปัจจุบันธุรกิจรับเหมามีการเซ็นสัญญา มีงานในมือแล้ว ประมาณ 4.5 แสนล้านบาท ยังไม่รวมงานใหม่ นอกจากนี้ดอกเบี้ยต่ำอีกนาน ที่ผ่านมาบจ.มีการปรับตัวได้ดีและให้ผลตอบแทนปันผลเฉลี่ย 10 ปีอยู่ที่ 3.58% ชนะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยเงินฝาก กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม เลือกซื้อหุ้นที่จ่ายเงินปันผลต่อเนื่องมากกว่า 5 ปี ประมาณ 5-7% และถือลงทุนระยะยาว เช่น LH ให้ผลตอบแทนมากกว่า 7% KKP และ BBL ให้ผลตอบแทนที่ดี MAJOR 5% , THANI 4.78% ,IRPC 5%

นาย สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น (COM7) กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นก็เหมือนการทำธุรกิจ คือจะต้องปรับตัวเร็วมาก จะต้องรู้ว่าแบรนด์ไหนจะไป แบรนด์ไหนจะมา วิ่งอยู่ในเลนของตัวเอง มองไปข้างหน้าไม่ได้มองคู่แข่ง วิ่งไปโดยไม่ให้สะดุดขาตัวเอง กรณี แอปเปิลออกไอโพนรุ่นใหม่ ยอดขายไม่ดีเท่าเก่า ไม่ค่อยเปรี้ยง แต่สินค้ายังเป็นที่นิยมอยู่ บริษัทจึงนำไอโฟนรุ่นเก่า 7, 8 ไปขายในต่างจังหวัดแทน ก็ยังคงขายได้อยู่ สามารถขยายตลาดได้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจว่า แต่ก่อนบริษัทขายคอมพิวเตอร์ มองว่ามือถือจะมีบทบาทมากขึ้น ก็เข้ามาในธุรกิจนี้ มีการลองผิด ลองถูก ถ้าไม่ปรับตัวจะล้าหลัง และเมื่อบริษัทมีการเติบโต ก็ต้องพัฒนาคนทุกระดับ ต้องเปลี่ยนขั้นตอนการทำงาน เพื่อที่จะทำอย่างไรให้บริการคนได้มากขึ้น จากเดิมมี 10 สาขา เพิ่มเป็น 100 สาขา 500 สาขาจะทำเหมือนเดิมไม่ได้ คนทุกระดับต้องปรับตัวตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ธุรกิจเติบโต ธุรกิจจะต้องอยู่ตลอด เวลาเศรษฐกิจไม่ดี จะอยู่อย่างไร จะโตได้อย่างไร ธุรกิจค้าปลีก ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ศูนย์การค้ามีพื้นที่ดีๆว่าง และค่าเช่าจะถูกลง บริษัทก็จะมีโอกาสได้ทำเลที่ดี เข้าไปก่อนประคองให้อยู่ได้ ถ้าเศรษฐกิจกลับมา ก็จะได้ค่าเช่าถูก ยามดีอะไรก็ดี และมีกำไรก็จะทดลองทำธุรกิจเสริม จะต้องบาลานซ์พอร์ต ไม่ติดยึดแบรนด์ไหนหรือสินค้าไหนตลอด

“เวลาวิกฤต หุ้นลง ยังมีหุ้นบางตัวดี แต่ราคาลงมามาก ถ้าทำการบ้านมากขึ้น เมื่อเศรษฐกิจกลับมา หุ้นตัวนั้นก็จะกลับมาเร็ว”นายสุระกล่าว

สำหรับเรื่องการลงทุนในหุ้น ส่วนตัวไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลหรือเฝ้าดูราคา ไม่ถนัดลงทุนหุ้นรายตัว อาศัยความรู้เรื่องเทคโนโลยี จึงซื้อ Nasdaq 100 ลงทุนระยะยาว เชื่อว่าธุรกิจกลุ่มนี้ยังคงเติบโตไปได้