HoonSmart.com>>บลจ.กรุงศรี วางกรอบดัชนีปีนี้ 1,550-1,830 จุด กังวลความไม่แน่นอนปัจจัยต่างประเทศ “ทรัมป์” สงครามการค้า เฟดขึ้นดอกเบี้ย แนะกระจายลงทุนต่างประเทศ พร้อมปรับกลยุทธ์ลงทุนรับมือความผันผวน ด้านแผนงานปี 62 ตั้งเปาปั๊ม AUM แตะ 5.3 แสนล้านบาท
นางสุภาพร ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี กล่าวว่า บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นระยะกลางถึงยาว แม้ว่าในระยะสั้นดัชนีตลาดหุ้นไทย อาจมีความผันผวนและมีแนวโน้มเคลื่อนไหวตามกระแสเงินลงทุนต่างชาติและปัจจัยภายนอกประเทศอยู่บ้าง แต่ตลาดหุ้นไทยยังเป็นที่น่าสนใจลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค โดยมีสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ปี 2562 อยู่ที่ 15.0 เท่า ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 15.5 เท่า และ 16.3 เท่า ตามลำดับ ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของไทยอยู่ที่ 3.2% ซึ่งสูงกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
ส่วนในระยะกลางถึงยาวการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยไทยที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงแข็งแกร่ง การลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวหลังการเลือกตั้ง และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
“บริษัทประเมินตลาดหุ้นไทยในปี 2562 ไว้ที่ 1,720 จุด และมีโอกาสปรับประมาณการณ์ใหม่หลังกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2561 ออกมาแล้วไม่ค่อยดี มองกรอบดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,550-1,830 จุด โดยไม่ได้กังวลปัจจัยการเมืองในประเทศ แต่ให้น้ำหนักอยู่ที่ปัจจัยต่างประเทศ ทั้งท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่คาดเดายาก สงครามการค้าที่อาจจะกลับมาเป็นปัจจัยลบได้อีกครั้งหากเจรจาไม่คืบหน้า รวมถึงการปรับเปลี่ยนแนวนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เป็นต้น หากท่าทีเปลี่ยนไปเหล่านี้ก็พร้อมจะกลับมาเป็นปัจจัยลบที่กระทบต่อหุ้นโลกและหุ้นไทยได้เช่นกัน”นางสุภาพร กล่าว
สำหรับพอร์ตการลงทุนในปี 2562 แนะนำกระจายลงทุนในหุ้น 60% แบ่งเป็นหุ้นไทย 35% หุ้นตลาดพัฒนาแล้ว 15% และหุ้นตลาดเกิดใหม่ 10% ส่วนตราสารหนี้ 35% แบ่งเป็นตราสารหนี้ไทย 25% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 10% การลงทุนทางเลือกในทองคำ 5% โดยผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ประมาณ 7%
ส่วนหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มอุปโภคและบริโภค
อย่างไรก็ตามจากสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วในปีที่ผ่านมาส่งผลให้บลจ.กรุงศรี ปรับวิธีมองการลงทุนใหม่ 4 ประเด็น ได้แก่ 1.จะมีการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ได้วิเคราะห์แต่ปัจจัยพื้นฐาน 2.มุมมองการลงทุนจะต้องปรับเปลี่ยนได้เร็ ไม่มองยาวจนเกินไป จากเดิมมอง 3-6 เดือนและถือยาว จากนี้จะดูสั้นขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ปรับเปลี่ยน 3.ความถี่ในการวิเคราะห์ถี่ขึ้นและ 4.ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์เดียว แต่จะกระจายการลงทุนมากขึ้น หลังจาเปลายปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนเร็ว
ด้านน.ส.ศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า ปี 2562 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) เป็น 5.3 แสนล้านบาท จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.02 แสนล้านบาท โดยมุ่งเน้น 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1) การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง 2) การผนึกกำลังร่วมกับกลุ่มกรุงศรีและ MUFG เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆในวงกว้าง และ3) การพัฒนาเพื่อมอบประสบการณ์การลงทุนที่ดีให้กับลูกค้า
“ปีนี้บริษัทมีแผนเปิดให้บริการออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เช่น เปิดบัญชีออนไลน์ บริการ Mobile Application และ Robo Advisor ในส่วนของกองทุนรวม เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมให้กับผู้ลงทุน และแนะนำการลงทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการรายบุคคล รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนา Mobile Application ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นอกเหนือจากให้บริการชำระค่าซื้อกองทุนด้วย QR Code และการพัฒนาเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นที่เน้นข้อมูลในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้เปิดให้บริการในปี2018 ที่ผ่านมา”น.ส.ศิริพร กล่าว
นอกจากนี้บริษัทเตรียมออกกองทุนเปิดกรุงศรีดีเลิศ (KFSUPER) เสนอขายครั้งแรกวันที่ 11-20 มี.ค. นี้ เพื่อเติมเต็มกองทุนในกลุ่ม KFHAPPY และ KFGOOD ซึ่งมีจุดเด่นเป็นกองทุนผสมการกระจายการลงทุนในหุ้นที่แตกต่างกันตามระดับความเสี่ยงตั้งแต่ไม่เกิน 25% และ 50% ตามลำดับ ขณะที่กองทุน KFSUPER ลงทุนในหุ้นได้ไม่เกิน 75%
น.ส.ศิริพร กล่าวว่า ด้านผลการดำเนินงานในปี 2561 ที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมและบลจ.ขนาดใหญ่ 10 อันดับแรก โดยบริษัทมี AUM จบสิ้นปีที่ 5.03 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% ในขณะที่การเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมและ บลจ.ขนาดใหญ่10 อันดับแรกอยู่ที่ 3.4% และ 3.1% ตามลำดับ โดย บลจ.กรุงศรี มีการเติบโตเพิ่มขึ้นในทุกประเภทธุรกิจ ทั้งในส่วนกองทุนรวมโต กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ด้านผลการดำเนินงานกองทุนของบริษัท มีกองทุนที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุด (Top Quartile) จำนวน 18 กองทุน ครอบคลุมทั้งในประเภทกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมต่างประเทศ จากผลการดำเนินงานกองทุนที่ดีอย่างสม่ำเสมอส่งผลให้บริษัทมียอดเงินลงทุนสุทธิในปี18 ทั้งสิ้น 26,215 ล้านบาท สูงสุดในอุตสาหกรรม