HoonSmart.com >> “Jitta” ฟินเทคสตาร์ทอัพ สัญชาตไทย รุกธุรกิจบริหารจัดการลงทุน ตั้ง “บลจ.จิตตะ เวลธ์” บลจ.แรกของไทยที่บริหารจัดการด้วยเทคโนโลยี (WealthTech) ลงทุนหุ้นอัตโนมัติตาม Jitta Ranking Top 30 อยู่ระหว่างขอ ก.ล.ต. คาดเริ่มได้ไตรมาส 2 “ตราวุทธิ์” เผยมีนักลงทุนลงทะเบียนรอแล้วมากกว่า 1 หมื่นราย ลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท รายย่อยต้องอดใจรอไปอีก 1-2 ปี
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านการเงินของคนไทย คาดว่า ในไตรมาส 2 นี้ จะสามารถเปิดตัวบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ ซึ่งจะเป็น บลจ.ไทย แห่งแรกที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการ (WealthTech) ทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การเปิดบัญชีและบริหารจัดการลงทุน
ทั้งนี้ บลจ.จิตตะ เวลธ์ อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตการจัดการกองทุนส่วนบุคคล จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
บลจ.จิตตะ เวลธ์ จะบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลด้วยเทคโนโลยี WealthTech โดยลงทุนหุ้นอัตโนมัติ 30 บริษัท (Top 30) ตามการจัดอันดับของ Jitta Ranking ที่คัดเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐานแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ตามหลักการของวอร์เรน บัฟเฟตต์ โดยใช้ Big Data และปรับพอร์ตปีละ 1 ครั้ง ในช่วงแรกสามารถลงทุนหุ้นไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม
“ที่ผ่านมาการลงทุนตาม Jitta Ranking พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนดีกว่าดัชนี เช่น ตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ปี 2552 – 2561 ดัชนี SET50 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย (CAGR) ปีละ 12.69% ขณะที่ Jitta Ranking Top 30 ให้ผลตอบแทนปีละ 22.89%” นายตราวุทธิ์ กล่าว
นายตราวุทธิ์ กล่าวอีกว่า นักลงทุนทั่วไปสามารถดูข้อมูล Jitta Ranking Top 30 ได้ฟรีที่ Jitta.com แต่อาจจะได้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เนื่องจากจะต้องลงทุนต่อเนื่องและมีวินัยการลงทุน ไม่ซื้อขายตามอารมณ์
“การเปิดพอร์ตกองทุนส่วนบุคคล ขั้นต่ำอยู่ที่พอร์ตละ 1 ล้านบาท เพื่อสามารถกระจายการลงทุนหุ้นได้ครบ 30 ตัวตาม Ranking โดยแต่ละพอร์ตเลือกลงทุนหุ้นได้ 1 ประเทศ ดังนั้นหากต้องการลงทุนหุ้น 3 ประเทศต้องเปิด 3 พอร์ต ปัจจุบันมีมาลงทะเบียนแล้วมากกว่า 1 หมื่นราย (wealth.jitta.com) ซึ่งทยอยเปิดพอร์ตหลังจาก บลจ.จิตตะ เวลธ์ เปิดให้บริการ แต่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเท่าไร” นายตราวุทธิ์ กล่าว
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า การกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท ถือว่าต่ำกว่ากองทุนส่วนบุคคลในตลาดที่จะกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ 10-20 ล้านบาท นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมบริหารจัดการยังต่ำกว่า โดยกำหนดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการเพียง 0.5% ต่อปี บวกกับส่วนแบ่งกำไรอีก 10% ของกำไรจากการลงทุน
“ในอีก 1-2 ปี คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการกับนักลงทุนทั่วไปได้ เพราะต้องรอให้มีการรับรอง e-Signature และ e-KYC ก่อน เพราะเราให้บริการผ่านระบบออนไลน์” นายตราวุทธิ์ กล่าว
ปัจจุบัน Jitta ให้บริการวิเคราะห์หุ้น 26 ตลาดหลักทรัพย์ 16 ประเทศ โดยมีผู้ใช้งาน 2 แสนคน จาก 128 ประเทศ และมีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และ บลจ.พันธมิตรที่มูลค่าการลงทุนตาม Jitta Ranking แล้วมากกว่า 2,200 ล้านบาท
ที่ผ่านมาของ Jitta ไม่มีรายได้การให้บริการ แต่ได้รับเงินสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ (Angel Investor) และล่าสุดได้รับลงทุนระดับ Pre-Series A มูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท จาก บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (Beacon VC) บริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย ทำให้ Jitta เป็นสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่มีมูลค่าสูงที่สุดในเวลานี้
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า เงินทุนที่ได้รับจาก Beacon VC จะนำไปใช้เพิ่มทีมงานด้านวิศวกรและทีมธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 25 คน พัฒนาอัลกอริทึ่มให้สร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด โดยใช้เทคโนโลยี AI มาต่อยอดการประมวลผลแบบ Big Data การขยายฐานลูกค้าโดยร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นที่สิงคโปร์และอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และการเปิดบริการ บลจ.จิตตะ เวลธ์
นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ Beacon VC กล่าวว่า ตลาด WealthTech มีศักยภาพที่จะเติบโตอีกมาก ขณะที่บริการของ Jitta สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสิ่งสำคัญคือผู้ก่อตั้งและทีมงานของ Jitta ที่มุ่งมั่นสร้างเทคโนโลยีเพื่อผู้ใช้งานอย่างแท้จริง
“โซลูชั่นของ Jitta ที่พัฒนาขึ้น นับเป็นสตาร์ทอัพจำนวนน้อยรายในประเทศไทย ที่มีศักยภาพในการสเกลหรือขยายการบริการไปในตลาดต่างประเทศทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เรามั่นใจว่า Jitta สามารถเป็นบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไทยที่จะก้าวขึ้นมาสร้างปรากฏการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและผลักดันให้วงการสตาร์ทอัพไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล”
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน Beacon VC มีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ 6 ราย และลงทุนผ่านกองทุน 3 กองทุน มูลค่าเงินลงทุนรวม 2,000 ล้านบาท