คาดเงินนอกจ่อทะลัก 3.5 หมื่นล้าน MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย 4 หุ้นเข้าวิน

โนมูระ พัฒนสิน คาดตลาดหุ้นไทยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 0.5% เป็น 3% ใน MSCI EM หลังปรับเกณฑ์ใหม่ 4 หุ้นใหม่เข้ารอบเดือนพ.ค.แนะลงทุน INTUCH, DTAC, RATCH, CENTEL ส่วน MTC ถูกปลดออก กองทุนต่างประเทศต้องปรับพอร์ต คาดเงินไหลเข้ามาลงทุน 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนเงินบาทแข็งสุดในรอบ 9 เดือน รมว.คลังสั่งธปท.ดูแล ไม่ให้เสียเปรียบคู่แข่ง

บริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน (CNS) ออกบทวิเคราะห์คาดว่า มีโอกาสสูงที่การปรับเปลี่ยนกฏเกณฑ์ใหม่ สำหรับการจำกัดการลงทุนของต่างชาติ จะได้รับอนุมัติจาก MSCI ซึ่งจะหนุนให้เงินกองทุน Active Fund ของต่างชาติ ทยอยเข้ามาสะสมหุ้นไทยใน MSCI ก่อน เพราะหลังการอนุมัติ น้ำหนักของไทยใน MSCI EM เพิ่มขึ้นจาก 2.5% สู่ 3.0% ทำให้เม็ดเงินจาก Passive Fund ที่ลงทุนตามดัชนี จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยกว่า 1,110 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโอกาสในการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทย

“แนะนำสะสมหุ้นที่คาดว่าจะได้เข้าคำนวณใน MSCI EM ใหม่รอบเดือนพ.ค.นี้ ได้แก่ INTUCH, DTAC, RATCH, CENTEL ขณะที่หุ้น MTC จะถูกถอดออกไป ” บล.โนมูระ พัฒนสินระบุ

ก่อนหน้านี้ นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ คาดว่าภาวะตลาดหุ้น เริ่มมีทิศทางที่ดีตั้งแต่ไตรมาส 2 เพราะได้บรรยากาศที่ดีจากการเลือกตั้ง รวมถึงราคาหุ้นก็อยู่ในระดับน่าสนใจ และคาดว่าจะมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้า ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ยังคาดว่าดัชนีหุ้นในปีนี้จะอยู่ในระดับ 1,700-1,800 จุด คาดอัตราผลตอบแทนจะอยู่ในระดับ 10-15%ไตรมาส 3 ดัชนีน่าจะขึ้นมาสูงสุด 1,800 จุด

สำหรับนักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง รวมนับตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 30 ม.ค. มียอดซื้อสุทธิ 8 พันล้านบาท ส่วนตราสารหนี้ เริ่มมีการขายออกจำนวน 5,289 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ส่งผลให้ค่าเงินบาทปิดที่ 31.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าในรอบ 9 เดือนและเป็นการแข็งค่ากว่าภูมิภาค

แนวโน้มค่าเงินบาทจะต้องติดตามผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ในเรื่องการปรับลดขนาดงบดุลว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
หากเท่าเดิม คือ 50,000 ล้านดอลลาร์/เดือน ดอลลาร์ก็น่าจะแข็งค่า แต่หากมีการลดน้อยกว่าดอลลาร์ก็อาจจะอ่อนค่าได้ ส่วนอัตราดอกเบี้ยคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในช่วงนี้ เป็นอำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องดูแล เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแกว่งหรือมีความผันผวนจนเกินไปและต้องรักษาระดับไม่ให้แข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่ง เพราะจะทำให้เสียเปรียบ

ในขณะเดียวกันทางด้านผู้ประกอบการต้องออกมาสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ธปท.รับทราบ และหามาตรการเข้าไปดูแล โดยเงินบาทที่แข็งค่าและอ่อนค่าลงมีทั้งผลดีและผลเสียต่างกัน โดยบาทแข็งส่งผลดีต่อการลงทุนช่วยให้ต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบเครื่องจักรถูกลง ขณะเดียวกันก็กระทบผู้ส่งออกที่ใช้วตถุดิบในประเทศเป็นหลัก เช่น การส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตร ซึ่งจะกระทบเกษตรกรไปด้วย