“ฟิทช์ เรทติ้ง” ชี้ GPSC ซื้อโครงการ Energy Recovery Unit โรงไฟฟ้าพลังความร้อนจาก “ไทยออยล์” ดันหนี้เพิ่ม เสี่ยงต่อสถานะการเงิน ยังไม่มีผลกระทบต่อเครดิต ยังอยู่ภายใต้เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุว่า แผนการลงทุนของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ในโครงการ Energy Recovery Unit ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อน กำลังผลิตติดตั้ง 250 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) ของบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตที่ AA-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ยังไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของ GPSC ในขณะนี้ โดยอันดับเครดิตของ GPSC ยังคงอยู่ภายใต้เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าซื้อกิจการบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW ที่ยังไม่เสร็จสิ้น
ฟิทช์เชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อสถานะทางการเงินของ GPSC เนื่องจากแหล่งเงินทุนที่บริษัทจะใช้มาจากการกู้หนี้ อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวจะทำให้สถานะทางธุรกิจ และความสัมพันธ์ด้านการดำเนินงานระหว่าง GPSC และกลุ่ม ปตท. แข็งแกร่งขึ้น โดยทั้ง GPSC และ ไทยออยล์ มีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ GPSC ที่ ‘A+(tha)’ จะยังคงอยู่ภายใต้เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ จนกระทั่งการเข้าซื้อกิจการของ GLOW เสร็จสิ้นสมบูรณ์ และโครงสร้างเงินทุนระยะยาวที่ใช้ในการเข้าซื้อกิจการ และสถานะทางการเงินของบริษัทหลังจากการเข้าซื้อกิจการมีความชัดเจนมากขึ้น ฟิทช์ประกาศเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบแก่อันดับเครดิตของ GPSC เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2561 หลังจากที่บริษัทได้ประกาศเข้าซื้อหุ้นของ GLOW ในสัดส่วน 69.11 และทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด
ฟิทช์ คาดว่าแหล่งเงินทุนที่ GPSC จะใช้ในการลงทุนสำหรับโครงการ ERU จำนวนไม่เกิน 757 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะมาจากการกู้หนี้เพิ่มเติม ซึ่งในมุมมองของฟิทช์ อาจทำให้อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทหลังจากการเข้าซื้อกิจการของ GLOW ลดลงในอัตราที่ช้าลงเมื่อเปรียบเทียบกับประมาณการก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามประมาณการอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากที่ประมาณการไว้ จนถึงปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทต้องชำระเงินลงทุนส่วนใหญ่ของโครงการ ERU ฟิทช์คาดว่าการลงทุนในโครงการดังกล่าวจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO-adjusted net leverage) หลังจากการเข้าซื้อกิจการของ GLOW ที่ฟิทช์ประมาณการไว้สำหรับปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 4.4 เท่า จาก 3.2 เท่า แต่จะลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่โครงการเริ่มมีกระแสเงินสดจากการดำนเนินงาน
ฟิทช์ เชื่อว่าการลงทุนในโครงการ ERU จะทำให้สถานะทางธุรกิจของ GPSC ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น และการกระจายตัวด้านสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น GPSC น่าจะได้รับประโยชน์จากกระแสเงินสดของโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากรายได้ทั้งหมดของโครงการมาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำกับผู้รับซื้อรายเดียวของโครงการ ซึ่งได้แก่ไทยออยล์ โดยสัญญาดังกล่าวป้องกันความเสี่ยงต่อบริษัทจากปริมาณการขายไฟฟ้า และการจัดหาเชื้อเพลิง โดยโครงการจะได้รับการชำระค่าพลังงาน (Capacity Payment) ตามความสามารถในการรักษาการพร้อมจ่ายไฟฟ้าต่อไทยออยล์ โดยไม่ขึ้นกับปริมาณการผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้โครงการสามารถส่งผ่านต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและต้นทุนแปรผันที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการผลิตไฟฟ้าไปยังไทยออยล์ได้ การก่อสร้างโครงการน่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 โดยหลังจากโครงการเริมดำเนินการแล้ว โครงการน่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวนประมาณ 2.2 พันล้านบาท ต่อปี หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 11 ของ EBITDA ทั้งหมดของ GPSC หลังการเข้าซื้อกิจการ GLOW
ในการพิจารณายกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ นอกจากฟิทช์จะพิจารณาผลกระทบทางด้านการเงินจากการเข้าซื้อกิจการของ GLOW และการลงทุนในโครงการ ERU แล้ว ฟิทช์จะพิจารณาถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นจากการลงทุนดังกล่าว นอกจากนี้ฟิทช์จะพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง GPSC และบริษัทแม่ซึ่งได้แก่ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยรวมถึงการสนับสนุนเพิ่มเติมพิเศษ และความสัมพันธ์ด้านการดำเนินงาน และกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท.