“ไซแมท เทคโนโลยี” ยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด ชนะคดีฟ้องกสท.ผิดสัญญาได้เงินชดเชยเพียง 53 ล้านบาท จากมูลค่าเสียหาย 665 ล้านบาท
บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี (SIMAT) แจ้งว่า ตามที่บริษัท ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดี ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2556 เพื่อเรียกค่าเสียหายจำนวนทุนทรัพย์ 665.62 ล้านบาท จากบริษัท กสท โทรคมนาคม (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในกรณีที่ ผู้ถูกฟ้องคดี ผิดสัญญาไม่ดำเนินการตรวจรับและไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าใช้โครงข่ายใยแก้วนำแสงพร้อมอุปกรณ์ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ สัญญาลงวันที่ 10 มิถุนายน 2554 และ 13 มิถุนายน 2554 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการจัดซื้อ อุปกรณ์และติดตั้ง โครงข่ายใยแก้วนำแสงจนเสร็จสิ้น และได้ดำเนินการส่งมอบอุปกรณ์ทั้งระบบต่อ ผู้ถูกฟ้องคดี แล้ว สำหรับโครงข่ายในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 และ วันที่ 11 กรกฎาคม 2555 ตามลำดับ ตามเงื่อนไขในสัญญาดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดี กลับเพิกเฉย ไม่ดำเนินการตรวจรับตามสัญญา และผู้ฟ้องคดีได้มีการทวงถามเป็นหนังสือไปยัง ผู้ถูกฟ้องคดี หลายครั้งแล้ว แต่ ผู้ถูกฟ้องคดี ก็ไม่ดำเนินการและไม่มีการปฏิบัติใด ๆให้เป็นไปตามสัญญา บริษัทจึงได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาต่อผู้ถูกฟ้องคดี เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 และจึงได้ดำเนินการฟ้องร้องต่อ ผู้ถูกฟ้องคดี
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2561 ศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ 2478/2561 โดยสรุปว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีต้องเสียหายจากการปฏิบัติตามสัญญาที่ทำกับผู้ถูกฟ้องคดี โดยดำเนินการติดตั้งระบบโครงข่ายใยแก้วนำแสงตามสัญญาพิพาททั้งสองฉบับ ไม่ว่าผู้ถูกฟ้องคดีจะได้เข้าใช้หรือได้รับประโยชน์จากโครงข่ายดังกล่าวหรือไม่ ผู้ถูกฟ้องคดีก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดไม่ชดใช้ความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีได้ ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีในกรณีดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ ค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีพึงได้รับการชดใช้จะต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความเสียหายที่ได้เกิดขึ้นแล้วอย่างแท้จริง และมีความชัดเจนเพียงพอซึ่งสามารถพิสูจน์ต่อศาลได้และเกิดขึ้นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ โดยศาลปกครองชั้นต้นได้พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายดังนี้
1.ค่าเสียหายจากการที่ผู้ฟ้องคดีได้ส่งมอบอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับควบคุมและตรวจสอบระบบโครงข่ายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่คืนอุปกรณ์ดังกล่าว โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดี ชดใช้เงินจำนวน 53.23 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี
2.ให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนหนังสือค้ำประกันธนาคารกับให้ชดใช้ค่าธรรมเนียมของหนังสือค้ำประกันธนาคารปีละ 0.14 ล้านบาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าผู้ถูกฟ้องคดีจะคืนหนังสือค้ำประกันให้แก่ผู้ฟ้องคดี
3.ค่าขาดโอกาสที่ผู้ฟ้องคดีจะได้รับผลกำไรจากการประกอบธุรกิจ หากผู้ถูกฟ้องคดีตรวจรับงานนั้น ศาลเห็นว่าค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีพึงได้รับจากการกระทำละเมิดจะต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความเสียหายที่ได้เกิดขึ้นแล้วอย่างแท้จริง ความเสียหายที่เป็นค่าขาดโอกาสเป็นเพียงการคาดการณ์มิใช่ความเสียหายที่แท้จริงและไม่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายในกรณีนี้ได้
อย่างไรก็ตามจากคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น บริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าค่าเสียหายที่บริษัทได้ฟ้องร้องในส่วนของค่าเสียหายหลักยังมีความไม่ชัดเจนและไม่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
บริษัทจึงได้ดำเนินการยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 โดยได้แก้ไขและชี้แจงเพิ่มเติมข้อเท็จจริง เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นให้มีความชัดเจนและพิสูจน์ต่อศาลได้ โดยได้รวบรวมข้อมลูค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ได้แก่ จำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายเงินเพื่อลงทุนซื้ออุปกรณ์ ค่าแรงติดตั้ง และต้นทุนทางการเงินที่เกิดขึ้น ระหว่างการก่อสร้างโครงข่าย รวมมูลค่าเท่ากับ 434,242,557 บาท ซึ่งมูลค่าต้นทุนระบบโครงข่ายที่บริษัทได้ลงทุนนั้น สามารถตรวจสอบได้จากงบการเงินของบริษัท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต พร้อมทั้งยื่นเอกสารเพิ่มเติม ได้แก่ งบการเงิน รายละเอียดต้นทุน ค่าอุปกรณ์และต้นทุนทางการเงินแยกตามจังหวัด พร้อมเอกสารใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี และใบเสร็จรับเงินจากผ้ขาย