“บัตรกรุงไทย” อวดผลงานปี 61 กำไรสุทธิ 5.14 พันล้านบาท เติบโต 56% กวดรายได้รวม 2.1 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 8% ด้านหนี้เสียลดเหลือ 1.14% จากปีก่อนอยู่ที่ 1.32%
บริษัท บัตรกรุงไทย (KTC) แจ้งผลการดำเนินงานประจำปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 กำไรสุทธิ 5,139.59 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.99 บาท เพิ่มขึ้น 56% จากงวดเดียวกันของปี 2560 มีกำไรสุทธิ 3,304.32 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.28 บาท
บริษัทฯ ระบุว่า ผลการดำเนินงานในปี 2561 เป็นไปตามคาดหมายที่ฝ่ายจัดการประมาณการไว้ โดยรายได้เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนหน้าและกำไรเพิ่มขึ้น เป็นผลจากยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรที่เติบโตขึ้นและยอดลูกหนี้ทั้งธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อบุคคลที่ขยายตัว อีกทั้งการสร้างฐานลูกค้าของบริษัทเพิ่มขึ้น รวมถึงการคงสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ในระดับต่ำได้ต่อเนื่อง
บริษัทฯ มีรายได้รวมปี 2561 จำนวน 21,198 ล้านบาท ขยายตัว 9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีอัตราเติบโตชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับรายได้รวมของปี 2560 ที่เคยเพิ่มที่ 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยในปีนี้รายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจบัตรเครดิตลดลงเล็กน้อยที่ 1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบของการปรับลดลงของการคิดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 20% เป็น 18% แม้ว่าจะยังคงสามารถขยายฐานบัตรได้อย่างต่อเนื่องก็ตาม
อย่างไรก็ตามรายได้ดอกเบี้ยของสินเชื่อบุคคลยังเติบโตได้ดีที่ 13% จากงวดเดียวกันของปีก่อน พร้อมกับการเติบโตในมูลค่าของยอดลูกหนี้รวม ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและหนี้สูญได้รับคืนยังเพิ่มขึ้น ทำให้รายได้รวมมีจำนวน 21,198 ล้านบาท เพิ่มจาก 19,525 ล้านบาทในปี 2560 ส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมเท่ากับ 35.5% ลดลงจาก 36.6% เมื่อเทียบกับ ณ ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ในรอบ 11 เดือนปี 2561 ปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรของบริษัทขยายตัว 9.1% ขณะที่อุตสาหกรรมเติบโตที่ 10.6% และปริมาณซื้อขายผ่านร้านค้าของบริษัทเติบโตที่ 10.1% เป็นมูลค่า 85,732 ล้านบาท ด้วยฐานจำนนวนร้านค้าที่เพิ่มขึ้นจาก 32,875 ร้านค้าเป็น 36,837 ร้านค้า
ยอดลูกหนี้รวมขยายตัว 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หรือมีจำนวน 78,202 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นลูกหนี้บัตรเครดิตรวมเพิ่มจาก 48,338 ล้านบาท เป็ น 51,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวมจาก 24,757 ล้านบาท เป็น 26,821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2561 เท่ากับ 15.10% ใกล้เคียงกับปี 2560 ที่เคยอยู่ที่ 15.13% เนื่องจากการลดลงของต้นทุนเงินเหลือเพียง 2.89% จาก 3.12% หักล้างกับการลดลงของค่ำเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยรับที่เท่ากับ 17.99% จาก 18.25% ทำให้ส่วนต่างอัตราเบี้ยไม่แตกต่างไปจากเดิม
นอกจากนี้บริษัทฯ ควบคุมคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ดีต่อเนื่อง NPL ลูกหนี้รวมของบริษัทอยู่ที่ 1.14% ลดลงจาก 1.32% ณ สิ้นปี 2560 และบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย