ทริสจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไทยเบฟเวอเรจ ระดับ AA มูลค่า 50,000 ล้านบาท ใช้คืนหนี้ ปี 2561 รายได้โต 21% เป็น 230,555 ล้านบาท ทริสคาดจะเพิ่มเป็น 280,000 ล้านบาท ในปี 2564 อัตรากำไรจากการดำนินงานไต่ระดับ 17% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า หลังจากปีที่ผ่านมา ลดลงเหลือ 14.3% ภาระหนี้ต่ออิบิทดาที่กระโดดจาก 1 เท่าเป็น 5.6 เท่าจากซื้อกิจการหลายแห่ง ทริสคาดจะลดเหลือ 3.5 เท่าในปี 2564
บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ที่ระดับ “AA” เท่ากับหุ้นกู้ชุดใหม่ไม่เกิน 50,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินไปใช้คืนหนี้ที่เหลืออยู่
อันดับเครดิตสะท้อนสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตลอดจนการมีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอ และแหล่งรายได้ที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนภาระหนี้ที่สูงของบริษัท รวมถึงกฎระเบียบที่เข้มงวด และการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย
ในปีงบประมาณ 2561 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 21% เป็น 230,555 ล้านบาท เนื่องจากการรวมผลการดำเนินงานของกิจการที่บริษัทเข้าซื้อในปลายปี 2560 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลงเป็น 14.3% จากระดับ 17.4% ในปีงบประมาณ 2560 จากอัตราการทำกำไรที่ลดลงจากการขายภายในประเทศ
ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์หลายกิจการในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(อิบิทดา) เพิ่มขึ้นเป็น 5.6 เท่าในปีงบประมาณ 2561 จาก 1.0 เท่า ทริสคาดว่า จะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 3.5 เท่าภายในปีงบประมาณ 2564 เนื่องจากความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และความตั้งใจผู้บริหารของบริษัทในการปรับลดภาระหนี้ รวมถึงการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง จะทำให้ภาระหนี้ลดลงได้ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า
ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 280,000 ล้านบาทในปี 2564 โดยอัตราการทำกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับประมาณ 17% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เงินทุนจากการดำเนินงานจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ล้านบาทในปี 2564 จาก 32,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา บริษัทตั้งงบลงทุนตามปกติที่จำนวนระหว่าง 5,000-8,000 ล้านบาทในช่วงปี 2562-2564 ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 20% ในขณะที่อัตราส่วนอิบิทดาต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 7 เท่าภายในปีงบประมาณ 2564