ดาวโจนส์ปิดลบ 20 จุด ไร้ปัจจัยใหม่

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดลบ ดาวโจนส์ลดลง 20 จุด มูลค่าซื้อขายเบาบาง Santa Claus Rally ไม่แรงนัก ราคาน้ำมันดิบร่วงกว่า 2% “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดทำการ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 26 ธันวาคม 2568 รวมทั้ง ดัชนี S&P500 ในวันซื้อขายวันแรกหลังวันคริสต์มาส ทรงตัวอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยปริมาณการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นช่วงคริสต์มาส หรือ Santa Claus Rally ไม่แรงนัก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 48,710.97 จุด ลดลง 20.19 จุด, -0.04%

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,929.94 จุด ลดลง 2.11 จุด, -0.03%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,593.10 จุด ลดลง 20.21 จุด, -0.09%

ดัชนี S&P 500 แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 6,945.77 ในวันศุกร์ก่อนที่จะปิดตลาดอ่อนตัวลง แต่ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ปรับขึ้น 1.4% ขณะที่ดัชนี Dow และ Nasdaq ก็ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1% เช่นกันในสัปดาห์นี้ ทั้งสามดัชนีหลักปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4 ในรอบ 5 สัปดาห์

ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นเกือบ 18% ในปีนี้ และมีแนวโน้มที่จะทำสถิติเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% เป็นปีที่ 6 ติดต่อกันในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ดัชนี Nasdaq ก็ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปี 2025 แม้ว่าจะเข้าสู่ภาวะตลาดหมีชั่วคราวหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในเดือนเมษายนก็ตาม

นักลงทุนกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่แข็งแกร่งเป็นประวัติการณ์ ขณะที่คอยการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงเทศกาลคริสต์มาส หรือ Santa Claus Rally ซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่าง 5 วันทำการสุดท้ายของปีและ 2 วันทำการแรกของปีใหม่ ข้อมูลจาก Stock Trader’s Almanac แสดงให้เห็นว่าดัชนี S&P 500 มีผลตอบแทนเฉลี่ย 1.3% ในช่วงเวลาดังกล่าว นับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา

ทอม ไฮน์ลิน นักกลยุทธ์การลงทุนระดับชาติจาก U.S. Bank Asset Management กล่าวว่า นักลงทุนบางส่วนขายทำกำไร บางส่วนซื้อหุ้นราคาต่ำ แต่ไม่มีปัจจัยใหม่ทั้งข้อมูลผลประกอบ การของบริษัท ข้อมูลทางเศรษฐกิจมากนัก ดังนั้นในตอนนี้จึงอาจเป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวางสถานการลงทุนมากกว่า

นอกจากนี้ยังชี้ว่าการปรับตัวในวงกว้างของตลาดเมื่อเร็วๆ นี้เป็นการลงทุนที่มองไปถึงปีหน้า จะเห็นได้จากดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในวันพุธนั้นไม่ได้มาจากภาคเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่มาจากภาคการเงินและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสองภาคส่วนที่ขึ้นอยู่กับวัฏจักรเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตลาดโดยรวมได้รับประโยชน์จากร่างกฎหมายภาษีที่ลงนามในเดือนกรกฎาคม และการลดอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่ดีในปี 2026

ในขณะเดียวกัน เงินทุนไหลเข้าสู่ภาคโลหะมีค่าอย่างรวดเร็ว เงินพุ่งขึ้น 10% ในวันเดียว เทียบเท่ากับทองคำที่สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แพลทินัมก็ทำสถิติสูงสุดใหม่เช่นกัน และราคาทองแดงยังคงแข็งแกร่ง

เมื่อวันศุกร์ ราคาทองคำล่วงหน้าพุ่งขึ้นเหนือ 4,550 ดอลลาร์สหรัฐฯ และทรงตัวอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หรือใกล้เคียง มีแนวโน้มที่จะทำสถิติปิดสูงสุดเป็นครั้งที่ 54 ในปี 2025
ขณะเดียวกัน ราคาโลหะเงินก็พุ่งขึ้นเหนือ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ส่งผลให้การปรับขึ้นตั้งแต่ต้นปี 150% ะมีแนวโน้มที่จะทำสถิติปิดสูงสุดติดต่อกันเป็นครั้งที่ 5 และเป็นครั้งที่ 18 ของปี จาก การพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนสินค้าจริงในช่วงเวลาที่ความต้องการทางอุตสาหกรรมแข็งแกร่ง

ราคาทองและโลหะเงินที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดครั้งใหม่ ส่งผลให้หุ้นเหมืองโลหะมีค่าที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เช่น First Majestic, Coeur Mining และ Endeavour Silver เพิ่มขึ้นระหว่าง 1.2% ถึง 3.0%

ในตลาดน้ำมัน เกิดเหตุการณ์ Black Friday จากสัญญาณแห่งสันติภาพของความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 1.61 ดอลลาร์ หรือ 2.76% ปิดที่ 56.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 1.60 ดอลลาร์ หรือ 2.57% ปิดที่ 60.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ตลาดยุโรปปิดทำการ ทั้งตลาดลอนดอน ตลาดฝรั่งเศสและตลาดเยอรมนีเนื่องในเทศกาลคริสต์มาส