หุ้นพุ่งฉิว 20 จุด เคาะเลือกตั้ง 8 ก.พ. ลดดบ. 17 ธ.ค.ไล่เก็บหุ้นใหญ่

HoonSmart.com>> หุ้นไทยพุ่งแรงสวนทางภูมิภาค ดัชนีกระโดดปิดสูงสุดของวัน 1,273.40 จุด  เฉียด 20 จุดหรือ +1.54% รับข่าวดีเคาะวันเลือกตั้ง 8 ก.พ. 69  เก็งกนง.ลดดอกเบี้ย 17 ธ.ค.นี้ หนุนกลุ่ม Yield Plays เ เงินบาทแข็งค่าในรอบ 4 ปี กระตุ้นให้ไล่ซื้อหุ้นใหญ่  ทั้งการบิน- ไฟฟ้า -DELTA   นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,093 ล้านบาท  ส่วนนักลงทุนไทยขายทำกำไร 1,051.91 ล้านบาท

วันที่ 15 ธ.ค.2568 ตลาดหุ้นร้อนแรงปลายตลาด ดันดัชนี SET กระโดดปิดที่ระดับสูงสุดของวัน  1,273.40 จุด  พุ่งขึ้น 19.30 จุด หรือ +1.54% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 33,093.33 ล้านบาท สวนทางตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลงแรง โดยเฉพาะเกาหลีใต้

ขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย 1,093.39 ล้านบาท พอร์ตบล. ซื้อด้วย 945.25 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยขาย -1,051.91 ล้านบาท และสถาบันขาย -986.74 ล้านบาท ด้านค่าเงินบาทแข็งสุดในรอบ 4 ปี

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นโดดเด่นกว่าภูมิภาค รับข่าวที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเห็นชอบร่างแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ตามที่สำนักงาน กกต. เสนอ โดยกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ. 2569 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ภายหลังพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568

ทั้งนี้กำหนดวันเลือกตั้งใน-นอกเขตเลือกตั้ง กกต. กำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 1 ก.พ. 2569 เป็นวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งในและนอกเขตเลือกตั้ง รวมถึงการลงคะแนน ณ ที่เลือกตั้งสำหรับผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ และผู้สูงอายุ กำหนดขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า (ในเขตเลือกตั้ง นอกเขตเลือกตั้ง และนอกราชอาณาจักร) – ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. 2568 ถึงวันที่ 5 ม.ค. 2569 กำหนดระยะเวลาแจ้งเหตุไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 1-7 ก.พ. 2569 และ 9-15 ก.พ. 2569

น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงท้ายตลาดเด้งขึ้น คาดว่าจะเป็นผลจากที่มีข่าวทางกกต.กำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 8 ก.พ. 2569 และจะรับสมัครสส.-แคนดิเดตนายกฯ ในวันที่ 27-31 ธ.ค. 2568 แสดงถีงความชัดเจนเบื้องต้นทางการเมือง อีกทั้งการประชุมกนง. 17 ธ.ค.นี้ คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ดีจะต้องติดตามกนง.จะส่งสัญญาณแนวโน้มเศรษฐกิจออกมาอย่างไรด้วย

ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวเด่นในวันนี้ จากความคาดหวังจำนวนนักท่องเที่ยวจะดีขึ้น และเงินบาทแข็งค่า น่าจะช่วยหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้า พร้อมให้ติดตามการเมือง และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนปัจจัยต่างประเทศให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งสัปดาห์นี้จะมีตัวเลขภาคแรงงานออกมา และเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (16 ธ.ค.) ตลาดยังมีโอกาสที่จะรับแรงเก็งกำไรได้ต่อเนื่อง พร้อมให้แนวรับ 1,260-1,250 จุด แนวต้าน 1,280-1,285 จุด

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยวันนี้เด้งขึ้น นำโดยหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว AOT, THAI ขึ้นนำ มาจากฤดูกาลท่องเที่ยว และคาดว่าจะได้แรงซื้อจากบรรดากองทุนลดหย่อนภาษี พร้อมให้กรอบแนวรับ 1,260-1,255 จุด แนวต้าน 1,275 จุด

บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองกกต.เสนอวันเลือกตั้ง 8 ก.พ.2569 กรณีสามารถจับการเลือกตั้งได้โดยประเด็นสงครามไทย-กัมพูชาไม่มีผลกระทบมองจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือน ม.ค.ที่จะเริ่มเห็นการหาเสียงที่คึกคักมากขึ้น ส่วนหุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวก ได้แก่ CPALL CPAXT MTC TIDLOR OSP ICHI CENTEL เป็นต้น

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)มองหุ้นสายการบินปรับขึ้น นำโดย THAI ปิดที่  9 บาท (+7.78%), AAV ปิดที่  1.23 บาท (+6.03%), BA ปิดที่  14.90 บาท (+4.20%) โดยได้แรงหนุนจาก 1) ต้นทุนพลังงานที่อ่อนตัว 2) ค่าเงินบาทแข็งค่าในรอบ 4 ปี และ 3) แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่อาจกลับมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดจีน–ญี่ปุ่น ขณะที่ความกังวลด้านสถานการณ์ชายแดนเริ่มคลี่คลาย หลังมีการยืนยันว่าเส้นทางบินยังเปิดให้บริการตามปกติ

ส่วนกลุ่ม Yield Plays   นำโดยกลุ่มไฟฟ้า  GULF ปิดที่  41.75 บาท (+3.09%), GPSC ปิดที่  35 บาท (+2.19%), EGCO ปิดที่  118 บาท (+2.16%)รวมถึง MTC ปิดที่  35.25 บาท (+1.44%) เก็งผลการประชุม กนง. วันพุธที่ 17 ธ.ค. โดยตลาดให้น้ำหนักต่อโอกาสการลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 1.25%

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า รัฐบาลใหม่น่าจะเข้ารับตำแหน่งกลางเดือนเม.ย.2569 มองเชิงบวก เพราะจะช่วยยุติความไม่แน่นอนทางการเมืองได้เร็วขึ้น เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยอาจก้าวขึ้นเป็นพรรคที่มีจำนวนส.ส.มากที่สุด อันดับสองหลังการเลือกตั้ง รองจากพรรคประชาชน ส่วนพรรคเพื่อไทยอาจอยู่ในอันดับสาม โดยหากพรรคภูมิใจไทยจับมือกับพรรคเพื่อไทย และพรรคการเมืองขนาดเล็ก รัฐบาลผสมชุดใหม่น่าจะค่อนข้างมีเสถียรภาพ

อย่างไรก็ตามไทยอาจต้องเผชิญแรงกดดันทางภาษีจากสหรัฐฯที่ต้องการให้ไทยสงบศึกกับกัมพูชา โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ระงับการเจรจากับไทยตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย. หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล อดีตนายกรัฐมนตรี ฉีกสัญญาสันติภาพที่นายทรัมป์ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจา ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายคาดว่าการเจรจาเรื่องการค้าจะได้ข้อสรุปในสิ้นปี 2568 หากเจรจาการค้าไม่เดินหน้าต่อ อัตราภาษีของไทยอาจเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 19% กลับไปอยู่ที่ 36% ซึ่งเป็นอัตราแรกที่สหรัฐประกาศจะเก็บจากสินค้าไทยในเดือนเม.ย. 2568

แม้รัฐบาลไทยจะพยายามลดความสำคัญของตลาดสหรัฐและมองหาตลาดใหม่ แต่เชื่อว่าการหาคู่ค้าใหม่ทดแทนสหรัฐอาจไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งนี้สหรัฐยังคงเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่สุดของไทย เพราะในช่วง 10 เดือนปี 2568 มูลค่าส่งออกสินค้าไปสหรัฐคิดเป็น 21% ของมูลค่าการส่งออกโดยรวม และยังเพิ่มขึ้นถึง 29% yoy เทียบกับการเติบโตการส่งออกของไทยที่ 13% yoy แสดงให้เห็นว่าในปี 2568 นี้ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐมากขึ้น ส่วนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐของไทย เพิ่มขึ้น 6% yoy และคิดเป็นเพียง 6% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าช่วง 10 เดือนของปีนี้ ดังนั้นไทยจึงเกินดุลการค้าสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 3.27 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 10 เดือนปี 2567 เป็น 4.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 10 เดือนปี 2568

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ CGSI เชื่อว่า รัฐบาลจะไม่ถอยจากการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะประเด็นนี้อาจช่วยเพิ่มคะแนนนิยมของรัฐบาล ดังนั้นสถานการณ์ความขัดแย้งจึงน่าจะไม่ยุติลงในเร็วๆนี้ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อ sentiment ของตลาด และอาจทำให้สหรัฐยิ่งกดดันไทยเพื่อให้สงบศึกกับกัมพูชา จึงมองว่า สถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มที่เน้นส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และทำให้ยังระมัดระวังต่อการลงทุน

พร้อมคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 2569 อยู่ที่ 1,400 จุด ซึ่งยังเท่ากับ P/E 15 เท่าในปี 2570 หรือ -0.75SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี ทั้งนี้ มองว่าการที่สหรัฐอาจเก็บภาษีสินค้าไทยสูงขึ้นและการสู้รบชายแดนที่ลุกลามเป็นวงกว้างจะเป็น downside risk ต่อตลาด ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.2568 และการหยุดยิงโดยไม่มีประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซง น่าจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย