ประกันจ่ายแผ่นดินไหว-น้ำท่วม 6.5 หมื่นลบ. ยอมรับฉุดกำไรปี’68 ลด– แต่ไม่กระทบทุน

HoonSmart.com>> นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เผยปี 2568 เจอ “ภัยพิบัติ 3 เด้ง” มูลค่าความเสียหายรวม 65,000 ล้านบาท ทำกำไรหาย แต่ไม่กระทบทุน ด้านคปภ.ย้ำทดสอบภาวะวิกฤต (Climate Stress Test) แล้วผ่านฉลุย ประกันใน SET 11 แห่ง งวด 9 เดือนยังมีกำไร บริษัทนอก SET กระเป๋ายังตุง

นายสมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยในงาน ว่า ปี 2568 อุตสาหกรรมประกันภัยไทยเผชิญภัยพิบัติถึง 3 ครั้ง ทั้งน้ำท่วมภาคเหนือ ดินสไลด์ ที่ต่อเนื่องจากปี 2567 ถึงต้นปี 2568 พอมาเดือนมีนาคมเจอแผ่นดินไหว และปลายปีมีน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ปลายปี มูลค่าความเสียหายกว่า 65,000 ล้านบาท และน้ำท่วมภาคใต้คาดว่าจะเสียหายประมาณ 20,000 ล้านบาท ทำให้กระทบต่อกำไรของบริษัทประกันวินาศภัยในปี 2568 แน่นอน

เแต่ยืนยันว่ายังไม่กระทบเงินกองทุน โดยฐานะการเงินยังแข็งแกร่ง เนื่องจากบริษัทประกันวินาศภัย มีการทำประกันภัยต่อ (Reinsurance) 2 ชั้น

ทั้งสัญญาประกันภัยต่อและประกันภัยต่อช่วงแบบอัตราส่วน (Quota Share) ที่คุ้มครองภัยทั่วไป และสัญญา Excess of Loss หรือ XOL Protection ที่คุ้มครองภัยพิบัติ

ทำให้ความเสี่ยงหรือสินไหมที่ต้องจ่ายจากกระเป๋าตัวเองน้อย ส่วนใหญ่บริษัทรับประกันภัยต่อจะเป็นคนจ่าย

ในกรณีที่ใช้วงเงินประกันต่อในส่วนของภัยพิบัติหมดก่อนสัญญา ซึ่งจะเป็นปีต่อปี ก็สามารถซื้อต่อเฉพาะเวลาที่ยังเหลืออยู่ในปีนั้นๆ ได้อีก

การรับประกันภัยรถยนต์ บริษัทประกันภัยส่วนใหญ่รับความเสี่ยงไว้เอง(Retention Ratio) ทั้งหมด แต่มีการซื้อ XOL Protection ในส่วนที่เกิดความเสียหายจากภัยพิบัติ เพื่อจำกัดความเสียหาย

ขณะที่ประกันภัยอื่นๆ หรือ Non-Motor ส่วนใหญ่จะรับประกันด้วยตัวเอง (Retention Ratio) อยู่ที่ประมาณ 30% ส่วนที่เหลือส่งต่อไปยังบริษัทรับประกันภัยต่อ ทำให้ผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยอยู่ที่เพียง 30% ของมูลค่าความเสียหาย

ฉะนั้น แม้ค่าสินไหมทดแทนจากแผ่นดินไหว และน้ำท่วม จะสูงถึง 65,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจประกันวินาศภัยจะต้องตั้งสำรองทั้ง 65,000 ล้านบาท แต่จะตั้งสำรองเฉพาะส่วนที่ตัวเองรับประกันไว้เท่านั้น

นายสมพร ตัวอย่างการตั้งสำรอง ว่า กรณีบริษัทหนึ่งต้องจ่ายค่าสินไหม 1,000 บาท แต่มีการทำประกันภัยต่อภายใต้สัญญา XOL Protection ครอบคลุม 900 บาท บริษัทจะรับภาระจริงเพียง 100 บาท ซึ่งสะท้อนว่าการทำประกันภัยต่อช่วยลดแรงกระแทกต่อฐานะการเงินได้อย่างดีเยี่ยม

เช่น บริษัททิพยประกันภัย จะรับประกันภัยพิบัติไว้เอง 120 ล้านบาท ช่วงเกิดแผ่นดินไหว ลูกค้าเคลมความเสียหายรวม 3,600 ล้านบาท บริษัทฯควักกระเป๋าจ่ายเอง 120 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเรียกคืนจากบริษัทรับประกันภัยต่อ

เมื่อบันทึกบัญชี จะบันทึกเป็น ค่าสินไหมแผ่นดินไหว 3,600 ล้านบาท หักค่าสินไหมที่เรียกคืนจากบริษัทประกันภัยต่อ 3,480 ล้านบาท เหลือ Net Loss 120 ล้านบาท มีส่วนที่กระทบกำไรเพียง 120 ล้านบาท

ทำให้กำไรลดลง แต่ยังไม่กระทบกับเงินกองทุนของบริษัท

หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว วงเงินประกันภัยพิบัติของบริษัททิพยประกันภัย ถูกใช้เต็มวงเงิน จึงได้ต่อสัญญาประกันภัย Excess of Loss (XOL) เพื่อบริหารความเสี่ยงในส่วนที่เหลือของปี

เพราะปกติช่วงปลายปีไทยจะมีน้ำท่วม ครั้งนี้รับความเสี่ยงไว้เอง 200 ล้านบาท พอเจอเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้ บริษัททิพยประกันภัย ต้องจ่ายเอง 200 ล้านบาท รวมแผ่นดินไหว 120 ล้านบาท ส่วนที่กระทบกำไรรวมแล้ว 320 ล้านบาท แต่ยังไม่กระทบเงินทุน (โดยข้อมูล ณ สิ้นก.ย.2568 มีส่วนของเข้าของรวม 8,820.48 ล้านบาท กำไรเบ็ดเสร็จรวมสำหรับรอบระยะเวลา 1,516.67 ล้านบาท)

นายสมพร กล่าวว่า จากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในปี 2568 มีแนวโน้มว่า บริษัทรับประกันภัยต่อ (Reinsurer) จะปรับเบี้ยประกันภัยพิบัติเพิ่มขึ้นในปี 2569 โดยเฉพาะสัญญา Excess of Loss (XOL) ซึ่งจะเป็นต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับบริษัทประกันภัยไทย

ทั้งนี้ การเจรจาต่อสัญญาประกันภัยต่อจะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปี 2568 และบริษัทประกันภัยอีกส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นช่วงมีนาคม–เมษายน จากปีงบประมาณที่แตกต่างกัน

“ปี 2569 บริษัทประกันภัยไทยจะเข้มงวดมากขึ้นในการกำหนดวงเงินคุ้มครองย่อย (Sublimit) และอาจปรับเบี้ยประกันภัยพิบัติสูงขึ้น ตามการปรับขึ้นเบี้ยของบริษัทประกันภัยต่อ เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นแต่จะเป็นเท่าไหร่นั้นยังตอบไม่ได้ในขณะนี้”นายสมพร กล่าว

คปภ.ยันทุนพอ Climate Stress Test ฉลุย

นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการด้านกฎหมายและตรวจสอบ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เคยเปิดเผยเมื่อครั้งแถลงข่าวร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการตลาดทุนและธุรกิจประกันภัย วุฒิสภา สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย ช่วงต้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ว่าธุรกิจประกันภัยได้ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Climate Stress Test) เพื่อพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ ต่ออัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนและสภาพคล่องของบริษัทมาแล้ว

ธุรกิจประกันภัยโดยรวม มีอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดและยังมีสินทรัพย์สภาพคล่องเพียงพอ

อีกทั้ง ภัยน้ำท่วมก็เป็นภัยที่อยู่ในความคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นได้ตามรอบระยะเวลา ซึ่งบริษัทได้มีการบริหารความเสี่ยง และจัดทำประกันภัยต่อเป็นปกติแล้ว

“จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า ธุรกิจประกันภัยมีความมั่นคงและมีเสถียรภาพในการรองรับความเสียหายจากภัยพิบัติในครั้งนี้อย่างแน่นอน และทุกบริษัทมีความพร้อมในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาแก่ประชาชนผู้เอาประกันภัยให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด”นายอดิศร กล่าว

เปิดงบ 11 ประกันใน SET ยังมีกำไร

ทั้งนี้ “HoonSmart.com ” พาไปเปิดงบการเงินงวด 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทประกันวินาศภัย 14 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 14 แห่ง มี 11 บริษัทที่ยังมีกำไรสุทธิ ประกอบด้วย

AYUD กำไรสุทธิ 2,213.65 ล้านบาท

BKIH กำไรสุทธิ 2,636.04 ล้านบาท

BUI กำไรสุทธิ 66.65 ล้านบาท

CHARAN กำไรสุทธิ 9.31 ล้านบาท

INSURE กำไรสุทธิ 7.41 ล้านบาท

KWI (SP,NC) ข้อมูล ณ 9 ก.ย.2567 ขาดทุนสุทธิ 711.74 อยู่ระหว่างแก้ไขฐานะการเงิน

MTI กำไรสุทธิ 890.35 ล้านบาท

NKI ขาดทุนสุทธิ 389.31 ล้านบาท

TGH กำไรสุทธิ 1,095.89 ล้านบาท

THRE กำไรสุทธิ 83.54 ล้านบาท

TIPH กำไรสุทธิ 694.34 ล้านบาท

TQM(นายหน้าประกันภัย) กำไรสุทธิ 553.32 ล้านบาท

TSI (CB) ขาดทุนสุทธิ 7.72 ล้านบาท

TVH กำไรสุทธิ 388.02 ล้านบาท

ประกันนอกตลาด SET กระเป๋ายังตุง

ขณะที่บริษัทประกันวินาศภัยที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมประกันภัยนั้นยังคงมีกำไรสุทธิ งวด 9 เดือนปี 2568 ยังเป็นบวก แม้จะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง อาทิ

บริษัทวิริยะประกันภัย กำไรสุทธิ 2,798.77 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 4,144.11 ล้านบาท

บริษัทคุ้มภัยโตเกียวมารีน ประกันภัย กำไรสุทธิ 1,667.71 ล้านบาท จัดงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 1,930.09 ล้านบาท

บริษัทธนชาตประกันภัย กำไรสุทธิ 975 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 485.64 ล้านบาท

บริษัทชับบ์สามัคคีประกันภัย กำไรสุทธิ 430 บาท ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน 374 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่รับประกันภัยแผ่นดินไหวในส่วนที่เป็นคอนโดมิเนียม ถึง 800 แห่ง อันดับ 1 ของประเทศไทย มีค่าสินไหมทดแทนที่ต้องชดใช้ประมาณ 7 พันกว่าล้านบาท

บริษัทเอ็มเอสไอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) กำไรสุทธิ 287.23 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 266.46 ล้านบาท

บริษัทเออโก้ประกันภัย (ประเทศไทย) กำไรสุทธิ 114.66 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 86.32 ล้านบาท

บริษัทกรุงไทยพานิชประกันภัย กำไรสุทธิ 396.67 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 458.56 ล้านบาท

บริษัทเทเวศประกันภัย กำไรสุทธิ 448.45 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 314.33 ล้านบาท

บริษัทมิตรแท้ประกันภัย กำไรสุทธิ 195.39 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 203.85 ล้านบาท

บริษัทแอกซ่าประกันภัย ประเทศไทย กำไรสุทธิ 14.10 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 224.03 ล้านบาท

บริษัทซมโปะ ประกันภัย ( ประเทศไทย) กำไรสุทธิ 44.02 ล้านบาทจัดงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 27.51 ล้านบาท

บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จำกัดสาขาประเทศไทย กำไรสุทธิ 940.99 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 928.70 ล้านบาท

บริษัท ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย กำไร 297.14 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน 353.78 ล้านบาท

บริษัทไทยไพบูลย์ประกันภัย กำไร 73.70 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 143.64 ล้านบาท

บริษัทสหมงคลประกันภัย กำไร 25.85 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 29.92 ล้านบาท

บริษัทฟอลคอลประกันภัย กำไร 24.07 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 24.04 ล้านบาท

บริษัท สตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อินชัวรันซ์ (ประเทศไทย) กำไร 138.77 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 157.01 ล้านบาท

บริษัทรู้ใจประกันภัย ขาดทุน 35.45 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 47.05 ล้านบาท

โดย วารุณี อินวันนา

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–