HoonSmart.com>>บริษัทไทยออยล์ (TOP) ผู้ถือหุ้นเทคะแนน เปิดทางบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้เช่าระยะยาว 21 ปี รับค่าตอบแทน 37,402 ล้านบาท และเช่าช่วงทำธุรกิจต่อ 3 ปี เป็นเงิน 9,772 ล้านบาท ได้กระแสเงินสดสุทธิ 18,230.30 ล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน เพิ่มศักยภาพธุรกิจ ขับเคลื่อนองค์กรระยะยาว
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า การประชุมผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2568 มีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการเสนอ โครงการการบริหารจัดการสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Asset Monetization) ซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนของบริษัทฯ (ได้แก่ ถังเก็บน้ำมันดิบ, ทุ่นผูกเรือกลางทะเล (Single Buoy Mooring : SBM), สถานีจ่ายน้ำมันทางรถและที่ดิน) ซึ่งต้ังอยู่ ณ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งประกอบด้วยการให้เช่าทรัพย์สินระยะยาวแก่บริษัทย่อยใหม่ บริษัท ท็อป อินฟรา และการเช่าช่วงทรัพย์สินที่ให้เช่ากลับจากบริษัทย่อยใหม่ บริษัท ท็อป อินฟรา เป็นสัญญาเช่าระยะสั้น ซึ่งเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน และรายการได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน
มติที่ประชุม ประกอบด้วยคะแนนเสียง ซึ่งไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย ได้แก่ บริษัท ปตท.( PTT) จำนวน 1,005,920,239 คะแนน และบริษัท สยาม แมนเนจเม้นท์โฮลดิ้ง 66,400,499 คะแนน ซึ่งเห็นด้วย 467,983,067 คะแนน คิดเป็น 99.9854%ไม่เห็นด้วย 0 คะแนน งดออกเสียง 68,384 คะแนน คิดเป็น 0.0146%
ก่อนหน้านี้ บริษัท แคปปิตอล แอ๊ดแวนเทจ ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเห็นด้วยในโครงการการบริหารจัดการสินทรัพย์ของไทยออยล์ ประกอบด้วย 2 ธุรกรรม ได้แก่ ธุรกรรมที่ 1 การให้เช่าระยะยาว (Lease) ระยะยาว 21 ปี และบริษัทไทยออยล์ จะได้รับค่าตอบแทนสิทธิการเช่าเป็นเงิน 37,402 ล้านบาท และธุรกรรมที่ 2: การเช่าช่วงทรัพย์สินที่ให้เช่า (Leaseback) ระยะสั้น 3 ปี เป็นเงิน 9,772 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทท็อป อินฟรา จะมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ จะถือหุ้นในสัดส่วน 51% ส่วนที่เหลือ 49% ถือโดยบริษัท PTT TANK เป็นบริษัทย่อยของบริษัท ปตท.
” ธุรกรรมการบริหารจัดการสินทรัพย์ครั้งนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์และแผนการดำเนินธุรกิจ รวมถึงนโยบายเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ โดยการบริหารจัดการสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นหนึ่งในโครงการที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กร ภายหลังจากการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว บริษัทฯ จะได้รับกระแสเงินสดสุทธิประมาณ 18,230.30 ล้านบาท ทำให้ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น เพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจ มีอัตราส่วนทางการเงินที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว ที่อาจเกิดขึ้นจากความผันแปรของธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์(Commodity)”บริษัท แคปปิตอล แอ๊ดแวนเทจ ระบุ
