HoonSmart.com >>ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเวที “Analysts meet Media OUTLOOK 2026” ชี้ตลาดทุนไทยยังเผชิญแรงกดดัน ธุรกิจโบรกเกอร์เหนื่อยหนัก หลังรายได้มาร์จินหด 30% คาดปี’69 เห็นการควบรวม ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ IB เน้นเลือกหุ้นทำ IPO เข้ม เดินหน้าขยาย Wealth Management เทรนด์แห่งอนาคต
นายพัชระนนท์ ชีวเกียงไกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) กล่าวในงาน “Analysts meet Media OUTLOOK 2026″ว่า ซีจีเอสไอ จัดงานสัมมนาใหญ่ด้านตลาดทุน หลังเว้นช่วงไปกว่า 3-4 ปี สะท้อนความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงนักลงทุนและสถาบันการเงินเข้ากับทิศทางตลาด แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยยังเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมตลาดและบทบาทผู้นำงานวิจัยสถาบัน
ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ตลาดสิงคโปร์ยังคงทรงตัวและบวกเล็กน้อยเพิ่มขึ้น 1% ขณะที่มาเลเซียแม้ชะลอลงจากการเติบโตเกือบ 40% ในปีก่อน แต่ปีนี้ยังคงบวกเล็กน้อย ส่วนอินโดนีเซียกลับโดดเด่นด้วยการขยายตัวของปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้น 41%ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกในมิติของสภาพคล่องและกิจกรรมการลงทุน
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยกลับเผชิญความท้าทายอย่างหนัก จากข้อมูลล่าสุด Year-to-Date ตลาดไทยติดอันดับ 3 ของโลกในด้านผลประกอบการที่ย่ำแย่ รองจากซาอุดิอาระเบีย และยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนทั้งสี่ตลาดหลัก แม้จะมีการรีบาวด์ แต่ยังคงติดลบราว 10% สะท้อนแรงกดดันที่รุมเร้าในหลายมิติ
“ตลอดปีที่ผ่านมา ปัจจัยลบถาโถมตลาดทุนไทยอย่างหนัก ตั้งแต่ภัยพิบัติธรรมชาติ ทั้งแผ่นดินไหวและน้ำท่วม ไปจนถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สร้างความไม่แน่นอนต่อบรรยากาศการลงทุน ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ลดลงถึง 36% เมื่อเทียบกับปีก่อน ถือเป็นการหดตัวที่แรงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน”นายพัชระนนท์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ตลาดทุนมีเสน่ห์ตรงที่คาดเดายาก—ปีที่ทุกคนสิ้นหวังกลับพลิกฟื้นได้ เช่นในปีโควิด 2564 ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะบูม แต่ตลาดกลับเติบโตอย่างน่าประหลาดใจ ตรงกันข้าม ปีที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ กลับไม่เป็นไปตามคาด
นี่คือวัฏจักรของตลาดทุนที่ “มีขึ้นก็ต้องมีลง มีลงก็ต้องมีขึ้น” และเป็นความหวังลึก ๆ ว่า ปี 2569 อาจมี “เซอร์ไพรส์” ที่ช่วยพลิกภาพตลาดไทยให้ดีขึ้น
คาดเห็นบล.ควบรวมปีหน้า
พัชระนนท์ มองแนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ หรือ โบรกเกอร์ ปี 2569 ว่า รายได้ดอกเบี้ย (interest income) ถือเป็นหนึ่งในรายได้สำคัญของธุรกิจโบรกเกอร์ในประเทศไทย โดยเฉพาะจากสินเชื่อมาร์จิน (margin loan) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนตุลาคม 2568 ตัวเลขในระบบอุตสาหกรรมไทยปรับลดลงไปแล้วราว 30% สาเหตุหลักมาจากทิศทางตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา และปี 2568 ก็ยังคงลดลงอีก ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อการบังคับขาย (forced sell) และสร้างผลกระทบแบบโดมิโนต่อหุ้นหลายตัวและข่าวสารในตลาด
สิ่งที่น่ากังวลคือรายได้ดอกเบี้ยนี้มีความหมายต่อธุรกิจโบรกเกอร์อย่างมาก เมื่อหายไปย่อมกระทบต่อความมั่นคงของรายได้ ปีหน้าในอุตสาหกรรมที่มีอยู่ถึง 37 โบรกเกอร์ จึงคาดว่าจะเผชิญความเหนื่อย และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการควบรวมกิจการ (M&A) เหตุผลคือการอยู่ในสเกลใหญ่และมี market share ที่แข็งแรงจะทำให้บริษัทมีทรัพยากรเพียงพอในการลงทุนและสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
ปัจจุบันบล.ซีจีเอสไอ ถือเป็นหนึ่งใน 5 บริษัทหลักทรัพย์ ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายที่สุดในตลาด หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นปีนี้คือ Private Fund หุ้นจีน ซึ่งแตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไป เพราะใช้แนวคิดการลงทุนแบบ VI เน้นการ overweight หุ้นเฉพาะประมาณ 67 ตัว ผลงานในปีที่แล้วสร้างผลตอบแทนกว่า 60% และปีนี้ในช่วงพีคขึ้นไปถึง 90% แม้ล่าสุดปรับลงมาเหลือราว 70% แต่รวม 2 ปีแล้วก็ยังให้ผลตอบแทนรวมกว่า 130% สะท้อนความแข็งแกร่งของกลยุทธ์การลงทุน
นอกจากนี้ AUM ของผลิตภัณฑ์ Private Fund เติบโตอย่างก้าวกระโดด จาก 500 ล้านบาทในปี 2567 ขึ้นมาเป็น 2,000 ล้านบาทในปี 2568 แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่หันไปมองตลาดต่างประเทศเมื่อหุ้นไทยไม่สดใส ตัวอย่างหุ้นเด่นในพอร์ต เช่น ทริปดอดคอม และบริษัทค้าทองรายใหญ่ในจีน ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2569 มองว่า ในช่วงครึ่งปีแรกยังคงท้าทาย เนื่องจากความไม่ชัดเจนทางการเมือง หากยึดตามไทม์ไลน์ทั่วไป การจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจลากยาวไปถึงกลางปี ทำให้ครึ่งปีแรกแทบสูญเสียโอกาสไป
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงต่อเนื่องก็ทำให้ “กระสุน” ของนักลงทุนลดลงด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง กลุ่มหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Dividend) อาจเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจ
เมื่อมองไปยังต่างประเทศ ตลาดสหรัฐฯ ถูกจับตามองเรื่องความเสี่ยงฟองสบู่ หลายสำนักวิจัยต่างตั้งคำถามว่าตลาดได้ถึงจุดพีคแล้วหรือยัง ขณะที่ตลาดจีนแม้มีการปรับฐานลงมา แต่ก็ถือเป็นการสร้างฐานเพื่อเตรียมไปต่อ ทำให้เรายังคงให้น้ำหนักกับตลาดจีนมากกว่าสหรัฐฯ
จากการซื้อขายหุ้นในประเทศยังคงไม่สดใสนัก นักลงทุนจำนวนมากจึงหันไปมองโอกาสในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นจีน
ขณะเดียวกันธุรกิจสินเชื่อมาร์จิน (margin loan) หรือรายได้ดอกเบี้ย (interest income) ยังคงถูกกดดันต่อเนื่อง
เนื่องจากระดับการใช้มาร์จินในอุตสาหกรรมจะกลับมาเพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทิศทางตลาดปรับตัวขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนใช้ leverage ในการซื้อขาย ซึ่งสถานการณ์นี้ยังคงเหนื่อยสำหรับธุรกิจโบรกเกอร์
เข้มเลือกหุ้นทำ IPO
ในด้านธุรกิจ Investment Banking (IB) และ IPO ปี 2568 ถือเป็นปีที่ท้าทาย หุ้นหลายตัวที่เข้าตลาดใหม่ปรับตัวลดลงอย่างมาก บริษัทของเราได้ส่งมอบ IPO ทั้งหมด 7 รายการ โดยดีลใหญ่ที่สุดคือหุ้น MRDIY ซึ่งเราเป็น lead underwriter แม้วันแรกจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ราคาหุ้นก็สามารถกลับขึ้นมายืนเหนือราคาจองได้ สะท้อนให้เห็นว่าในปี 2569 นักลงทุนจะมีความ selective มากขึ้น ไม่ใช่เหมือนช่วงต้นปีที่พร้อมเข้าลงทุนในหุ้นเล็กและกลางทุกตัวโดยหวังผลตอบแทนแรง ๆ แต่บทเรียนในปีนี้ทำให้ตลาดระมัดระวังมากขึ้น
การเลือกหุ้นทำ IPO ในอนาคตจะเน้นไปที่บริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น MRDIY ที่มีการขยายสาขา ผลประกอบการดี และ ROE สูง สิ่งเหล่านี้จะเป็น buffer สำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ขณะเดียวกัน IPO ที่อยู่ใน pipeline หากธุรกิจไม่แข็งแรงจริง อาจต้องเลื่อนการเข้าตลาดไปครึ่งปีหลังเมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองและรัฐบาลใหม่เข้ามา
สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกประการคือมุมมองต่อ valuation สมัยก่อนเจ้าของบริษัทมักต้องการราคาจองสูงเพื่อระดมทุนมาก ๆ แต่ผลลัพธ์คือทำให้นักลงทุนเจ็บตัว ปัจจุบันนักลงทุนเรียนรู้มากขึ้น แม้หุ้นที่มี valuation ถูกก็ยังน่าสนใจ และสามารถสะท้อนสัญญาณตลาดได้ว่าหากราคาต่ำมากแล้วยังไม่ไป ก็เป็นข้อมูลที่บอกอะไรได้ไม่น้อย
อนาคตของ Wealth Management
สำหรับธุรกิจ Wealth Management แม้จะถูกพูดถึงมากขึ้น แต่การสร้างฐานรายได้จาก wealth ยังต้องใช้เวลา บริษัทโบรกเกอร์แบ่งออกเป็นสองโมเดล คือ
1. บริษัทที่มีสเกลใหญ่ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเองและเพิ่ม AUM ในแต่ละ product ได้
2. บริษัทที่ทุนไม่มาก ใช้โมเดล Open Architecture โดยไปจับมือกับผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แล้วนำมาขายให้ลูกค้า
โมเดลแรก แม้จะสร้างความแตกต่างได้ แต่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งเป็นแรงกดดันในภาวะตลาดไม่ดีต่อเนื่องมาหลายปี
โมเดลที่สอง ช่วยลดแรงกดดันได้บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะสั้น ดังนั้น Wealth Management แม้จะเป็น future trend แต่ยังไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้อุตสาหกรรมหลักทรัพย์อยู่รอดได้ทันที
ปี 2569 จึงยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับธุรกิจโบรกเกอร์และตลาดทุนไทย ความกังวลของนักลงทุนยังคงอยู่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะคำถามว่า “ปีหน้าตลาดทุนไทยจะเป็นอย่างไร” ตลาดทุนเป็นวัฏจักรที่มีทั้งรอบขึ้นและรอบลง แม้ปัจจัยลบรุมเร้า แต่ยังคงมีความหวังว่าการปรับฐานในปีนี้จะเปิดทางให้เกิดการฟื้นตัวในรอบใหม่
เส้นทางขององค์กรและความแข็งแกร่งระดับภูมิภาค
นายพัชระนนท์ กล่าวว่า บล. CGS International มีรากฐานยาวนานกว่า 45 ปี เกิดจากการรวมตัวของโบรกเกอร์ไทยในอดีต และต่อยอดด้วยการควบรวมธุรกิจจาก Royal Bank of Scotland ในปี 2557 จนถึงปัจจุบัน เราก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ชั้นนำระดับภูมิภาค
– จีน : อันดับ 2 ของประเทศ
– สิงคโปร์ : ครองอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง
– มาเลเซีย : สลับอันดับ 1–2 ในบางช่วง
– อินโดนีเซีย : ติด Top 5
– ไทย : จากอันดับ 9 เมื่อ 4 ปีก่อน ปัจจุบันขึ้นมาอยู่ Top 5 ของอุตสาหกรรม
นี่คือพัฒนาการที่สะท้อนความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นในการสร้างบทบาทเชิงผู้นำในภูมิภาค
ความเป็นเลิศด้านงานวิจัยสถาบัน
ตลอด 3–4 ปีที่ผ่านมา ทีมวิจัยของเราได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นรางวัล Outstanding Broker จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือรางวัลจากสถาบันชั้นนำอย่าง Institutional Investor (II) และ Excel Awards ที่มอบให้ทั้งในฐานะ Best Broker และ Best Research Team สิ่งเหล่านี้สะท้อนความน่าเชื่อถือของบทวิเคราะห์ที่เราส่งต่อไปยังนักลงทุนสถาบัน ทั้งในไทยและต่างประเทศ
“การจัดงานในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงการพบปะสื่อมวลชน แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้นักวิเคราะห์ของเรานำเสนอ “มุมมองเชิงสถาบัน” ที่มีรากฐานจากข้อมูลและการวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เพื่อฉายภาพอนาคตของตลาดทุนไทยในปีหน้าอย่างมีหลักการและความหวัง ว่าท่ามกลางความท้าทายที่ยืดเยื้อ อาจมีแสงสว่างใหม่ที่ช่วยพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้อีกครั้ง”นายพัชระนนท์ กล่าว
