HoonSmart.com>>กระทรวงสาธารณสุข จับมือสมาคมประกันชีวิตไทย ยกระดับโรงพยาบาลรัฐรองรับผู้ป่วยมีประกันสุขภาพภาคสมัครใจ อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ได้มาตรฐาน เบื้องต้นนำร่องความร่วมมือสูงถึง 28 สถานพยาบาล ก่อนขยายผลทั่วประเทศ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน ชะลอการขึ้นเบี้ยสุขภาพ

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าพัฒนาระบบบริการในโรงพยาบาลรัฐ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลดความแออัด และการเพิ่มความสะดวกทันสมัย ผ่าน Service Center รวมถึงบริการเสริม เช่น คลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics
ขณะที่ สมาคมประกันชีวิตไทย ต้องการยกระดับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจให้ได้มาตรฐาน และเชื่อมโยงกับหน่วยบริการภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ การลงนาม MOU ครั้งนี้จึงเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายด้านการเงิน การคลัง และเศรษฐกิจ โดยจะเริ่มนำร่องในโรงพยาบาลที่มีความพร้อม 28 แห่งทั่วประเทศ เช่น วชิระภูเก็ต เชียงรายประชานุเคราะห์ นครปฐม และบุรีรัมย์ ก่อนขยายผลต่อไป
ปัจจุบันโรงพยาบาลรัฐยังให้บริการผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพภาคสมัครใจไม่มาก ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้เบี้ยประกันสุขภาพมีแนวโน้มไม่เพิ่มสูง หรืออาจลดลง หากสามารถออกกรมธรรม์ที่ครอบคลุมเฉพาะการใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นบุคลากรทางการแพทย์ให้พัฒนาบริการพรีเมียม เช่น คลินิกเฉพาะทาง การนัดหมายออนไลน์ การรับยานอกโรงพยาบาล และการใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับระบบประกันชีวิต ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและช่วยให้บริษัทประกันบริหารความเสี่ยงได้รัดกุมมากขึ้น
นอกจากนี้ โรงพยาบาลรัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ขณะที่ค่ารักษายังต่ำกว่าโรงพยาบาลเอกชน จึงช่วยลดภาระบริษัทประกันและยืดเวลาการปรับขึ้นเบี้ยประกันออกไป
นายพัฒนา กล่าวว่า MOU นี้ถือเป็น “กระดุมเม็ดแรก” ในการดึงภาคประกันเข้ามาช่วยดูแลคุณภาพชีวิตและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ให้ประชาชนมีทางเลือกและอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพในราคาสมเหตุสมผล โดยโรงพยาบาลของรัฐมีแพทย์เชี่ยวชาญโรคยาก คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้มีประกันภาคสมัครใจมากขึ้น พร้อมทั้งอาศัยบริษัทและสำนักงาน คปภ. ในการช่วยประชาสัมพันธ์ เป็นซีรี่สต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และ องค์การอาหารและยา (อย.) ร่วมมือกันในการให้ประชาชนใช้สิทธิการรักษาและการเลือกใช้ยา และการรับยานอกโรงพยาบาล
ปีนี้จะนำร่องใน 28 โรงพยาบาล และตั้งเป้าเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องประเมินความพร้อมของแต่ละแห่งให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด โดยข้อมูลจากโรงพยาบาลรัฐและแอป “หมอพร้อม” ที่มีการยกระดับเป็นหมอพร้อมซุปเปอร์แอป จะถูกนำมาเชื่อมโยงเพื่อพัฒนาระบบต่อไป ขณะเดียวกันยังมีมาตรการรองรับสังคมสูงวัย เช่น การจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ดูแลผู้สูงอายุและออกมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้คือเป็นการ connect the dots ของรัฐบาลในการให้บริการประชาชน
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า ทางรองนายกฯ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการล่วงหน้าแล้วว่าให้ทางคปภ.ศึกษาการออกกรมธรรม์ประกันสุขภาพเฉพาะผู้ที่เลือกเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของรัฐ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน แล้วด้วยความไฟแรงของ รมว.กระทรวงสาธารณสุข ทำให้เกิดความร่วมมือกันได้เร็ว โดยทางคปภ.จะเร่งประสานงานกับทางสมาคมประกันชีวิตไทยเพื่อออกแบบความคุ้มครองออกมาให้เร็วที่สุด
นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า สมาคมประกันชีวิตไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงนามความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการยกระดับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจให้มีความโปร่งใส ได้มาตรฐาน และสามารถตอบสนองความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการบริการที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้สะดวกยิ่งขึ้น
ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ภาคธุรกิจประกันชีวิตสามารถเชื่อมโยงข้อมูลและการทำงานร่วมกับหน่วยบริการสาธารณสุขของภาครัฐได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความคุ้มครอง รวมทั้งสนับสนุนโรงพยาบาลของรัฐในการบริการด้านสุขภาพภายใต้ระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจเพื่อร่วมกันยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ผู้เอาประกันภัยและประชาชนทั่วไปอย่างครอบคลุม
สิ่งสำคัญคือกระทรวงสาธารณสุขมีราคามาตรฐานด้านการรักษาพยาบาล ยา เวชภัณฑ์ อยู่แล้ว หากมีบริการที่สะดวกมากขึ้น การเชื่อมโยงข้อมูลมีความราบรื่น ให้กับผู้เอาประกันภัยภาคสมัครใจ มีข้อมูลเพียงพอและพร้อมกว่านี้ ในระยะต่อไปจะสามารถกำหนดราคาเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐที่จะมีราคาที่ย่อมเยาให้ประชาชนมีทางเลือกเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่ประชาชนจะเลือกโรงพยาบาลเอกชนเป็นหลักเพราะสะดวกกว่า
“ในช่วงเริ่มต้นก็จะมีการเก็บข้อมูล ปัญหา และร่วมกันแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาให้ดีมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทประกันชีวิตมีการเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลรัฐอยู่แล้ว เมื่อความร่วมมือเกิดขึ้น การทำงานร่วมกันเร็วขึ้น เชื่อว่าบริษัทประกันชีวิตที่มีการขายประกันสุขภาพพร้อมจะเข้าร่วมเพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชน”นางนุสรา กล่าว
นางนุสรา กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยลดทอนการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลให้เติบโตช้าลง ช่วยยืดระยะเวลาการขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพออกไปให้ยาวขึ้น มิฉะนั้นผู้มีประกันจะไปที่โรงพยาบาลเอกชนหมด และด้วยอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นทุกปีจะทำให้เป็นภาระของประชาชน ทำให้เข้าถึงประกันสุขภาพได้ยากขึ้นในอนาคต
นายสาระ ล่ำซำ อุปนายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ปีนี้อัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลของไทยอยู่ที่ 14% ซึ่งประเทศอื่นๆ ในอาเซียนก็สูงเหมือนกัน ซึ่งไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ แต่สามารถชะลอการเพิ่มขึ้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เพิ่มเร็วเกินไป โดยจะต้องไปเทียบค่าเฉลี่ยในเอเชีย และในระดับทั่วโลก และแนวทางการบริหารจัดการต้นทุนการรักษาพยาบาลภายใต้คุณภาพ,มาตรฐานทางการแพทย์ และความจำเป็นด้านการรักษาทางการแพทย์ยังคงอยู่ ควบคู่กับการให้ความรู้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ งานดังกล่าวมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) และมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย และนายสาระ ล่ำซำ อุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย เป็นผู้ลงนาม และมี นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และผู้อำนวยการโรงพยาบาลนำร่อง 28 แห่งจากทั่วประเทศร่วมเป็นสักขีพยาน
