HoonSmart.com>>ก.ล.ต.ผนึกกำลัง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับ OECD เปิดรายงาน Capital Market Review of Thailand 2025 เสนอ 5 แนวทางปฏิรูปตลาดทุน มุ่งยกระดับธรรมาภิบาล เพิ่มสภาพคล่อง หนุนการระดมทุนยั่งยืน ขยายฐานนักลงทุนสถาบัน สร้างความเชื่อมั่น เสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ร่วมกันจัดงานประชุม OECD-Asia Roundtable on Corporate Governance 2025 เวทีแลกเปลี่ยนเชิงนโยบายด้านบรรษัทภิบาลระดับภูมิภาคระหว่างประเทศในเอเชียและ OECD มีผู้เข้าร่วมกว่า 150 คน จาก 23 ประเทศ
ทั้งนี้ OECD ได้เปิดตัว รายงานการศึกษาทบทวนตลาดทุนไทย (OECD Capital Market Review of Thailand 2025) พร้อมกับเสนอ 5 แนวทางในการเสริมสร้างระบบนิเวศตลาดทุนไทยในแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
1.ยกระดับด้านบรรษัทภิบาลและความโปร่งใส ส่งเสริมให้ผู้มีส่วนร่วมในตลาดทุนมีบทบาทความรับผิดชอบมากขึ้น ปรับปรุงคู่มือการกำกับดูแลกิจการที่ดี และแนวปฏิบัติที่ดีในการเปิดเผยข้อมูล และเสริมสร้างความเป็นอิสระของคณะกรรมการบริษัท รวมทั้งพัฒนาการกำกับดูแลธุรกรรมที่เกี่ยวโยงกันและการคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อย
2.ส่งเสริมการเข้าถึงและสภาพคล่องในตลาดทุน เสนอให้มีการปรับขั้นตอนการอนุมัติ IPO ให้กระชับขึ้น อำนวยความสะดวกในการเสนอขายหุ้นในตลาดรอง และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)
ผ่านตลาดหลักทรัพย์ mai และ LiVEx รวมทั้งสนับสนุนงานวิจัยตลาดทุน
3.สนับสนุนการระดมทุนระยะยาวอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการระดมทุนด้วยตราสารหนี้ภาคเอกชน ซึ่งรวมถึงตราสารเพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน พร้อมทั้งปรับปรุงขั้นตอนการพิจารณาคุณสมบัติผู้ลงทุนเพื่อเพิ่มความคุ้มครองผู้ลงทุน และสนับสนุนให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าถึงตลาดตราสารหนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น
4.ยกระดับการระดมทุนของภาคเอกชน ส่งเสริมการลงทุนผ่านธุรกิจจัดการร่วมลงทุน และกิจการเงินร่วมลงทุน ปรับปรุงโครงสร้างกองทุนและการเสนอขายหลักทรัพย์แก่กรรมการหรือพนักงานบริษัทจดทะเบียน (ESOP) ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสนับสนุนธุรกิจใหม่
5.การขยายฐานนักลงทุนและเสริมสร้างเงินออมภาคครัวเรือน ที่ OECD เสนอแนะให้มีการออกแบบโครงการออมเงินโดยขยายความคุ้มครองของเงินบำนาญ เพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ลงทุนสถาบันในตลาดทุน และส่งเสริมความรู้และทักษะด้านการเงินแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

MR.Carmine Di Noia, OECD Director for Financial Affairs, กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลาดทุนไทยมีความมุ่งมั่นในการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีภาวะผู้นำที่แข็งแกร่งในการส่งเสริมตลาดทุนที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเปิดกว้าง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการของ G20/OECD
ตลาดทุนไทยมีบทบาทและศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เห็นได้จากขนาดของตลาดทุนเมื่อเทียบกับ GDP เคยอยู่สูงกว่า 100% แต่มีการปรับลดลงมาอยู่ประมาณ 80% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าไม่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอิตาลีที่มีเพียง 50% ของ GDP
การสร้างตลาดทุนที่แข็งแกร่งและยั่งยืนไม่สามารถพึ่งพา “สูตรสำเร็จ” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการปรับโครงสร้างให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ โดยหัวใจสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่าง อุปทานและอุปสงค์ ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้
พร้อมกับกล่าวว่า การที่จะดึงดูดบริษัทใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดทุนได้ก็ต่อเมื่อตลาดมีสภาพคล่องสูง ขณะเดียวกันต้องมี ฐานนักลงทุนที่หลากหลาย เพราะนักลงทุนแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะการลงทุนที่แตกต่างกัน โดยนักลงทุนสถาบัน อย่าง กองทุนบำเหน็จบำนาญและบริษัทประกัน มีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้กับตลาด
ขณะที่นักลงทุนรายย่อยช่วยเสริมความแข็งแกร่งมีความเป็นอิสระ และนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ แม้จะมีความผันผวนสูงตามภาวะเศรษฐกิจ
ในการสร้างสภาพคล่องในตลาดรอง จำเป็นต้องมี Market Maker ที่มีสิทธิพิเศษที่สร้างแรงจูงใจ เช่น การลดค่าธรรมเนียมหรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ซึ่งหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ใช้มาตรการนี้เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของตลาด
รวมถึง นักวิเคราะห์ ก็มีบทบาทในการเข้ามาวิเคราะห์ที่หลากหลายขนาดและครอบคลุม จากปัจจุบันที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ จะมุ่งวิเคราะห์บริษัทขนาดใหญ่ ขณะที่บริษัทขนาดกลางและเล็กมักถูกละเลย โดยเสนอให้นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ จะสามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพงานวิเคราะห์ได้ แต่ยังต้องอาศัยนักวิเคราะห์คุณภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน
พร้อมกับกล่าวว่า การเพิ่มฐานนักลงทุนสถาบัน (Institutional Investors) เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างตลาดทุนที่มีเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือ เพราะนักลงทุนสถาบันมักมีสินทรัพย์ระยะยาวและการลงทุนเชิงมืออาชีพ ช่วยเพิ่มขนาดและเสถียรภาพให้กับตลาดทุนโดยรวม เช่นในช่วงวิกฤตโควิด นักลงทุนกลุ่มนี้ช่วยรักษาสภาพคล่องในตลาดทุนไว้ได้ในหลายประเทศ แต่ตลาดนั้นๆ ต้องมีความน่าเชื่อถือ-โปร่งใส-มีธรรมาภิบาลที่ดี
ตลาดทุนไทย ควรจะขยายฐานกองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนประกันภัยให้มีบทบาทมากขึ้นในตลาดทุน ทำการปรับปรุงกรอบกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อการลงทุนระยะยาวและเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัทจดทะเบียน และใช้แรงจูงใจเชิงบวก เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่และเพิ่มความโปร่งใส สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ความร่วมมือเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการกำหนดนโยบายของ ก.ล.ต. เสมอมา การสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดกว้างกับองค์การ OECD และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทำให้มั่นใจได้ว่ารายงานฉบับนี้สะท้อนถึงความต้องการในโลกความเป็นจริง และความมุ่งมั่นร่วมกันในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ก.ล.ต. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อมุมมองที่หลากหลายซึ่งมีส่วนช่วยหล่อหลอมผลการศึกษาครั้งนี้ให้เป็นข้อเสนอที่ปฏิบัติได้จริง และสร้างผลลัพธ์ที่คาดการณ์ไปถึงอนาคตได้
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ผลการศึกษาเชิงลึกนี้เป็นมากกว่าข้อเสนอแนะ แต่เป็นประเด็นนโยบายสำคัญที่ ก.ล.ต. กำลังดำเนินการอยู่แล้ว โดยมุ่งมั่นที่จะสานต่อพลังขับเคลื่อนนี้ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้น จากเดิมที่ทำงานใกล้ชิดกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อทำให้ตลาดทุนมีความคล่องตัว เข้าถึงได้ และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เชื่อว่ารายงานการศึกษาทบทวนตลาดทุนไทยของ OECD จะนำไปสู่โอกาสในการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนและขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยต่อไป
“ไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการประเมินเพื่อเป็นสมาชิก OECD ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการ การรู้ช่องว่างและปัญหาที่ต้องแก้ไขจะช่วยให้ไทยมีเวลาในการปรับปรุง ทั้งในเชิงกฎหมายและเชิงปฏิบัติ”นางพรอนงค์ กล่าว
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า รายงานการทบทวนตลาดทุนไทยประจำปี 2568 โดย OECD ฉบับนี้ ชี้ให้เห็นประเด็นที่สำคัญที่ควรได้รับการพัฒนาในตลาดทุนไทย ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยการประสานความร่วมมือนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนโอกาสการพัฒนา พร้อมยกระดับธรรมาภิบาล และผลักดันให้ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป
ปัจจุบัน ฝั่งตลาดทุนพยายามที่จะสร้างความแข็งแกร่ง “ทั้งฝั่งอุปทานและอุปสงค์” โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมระยะยาวให้เข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะหุ้น แต่รวมถึงตราสารหนี้และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุที่ต้องการความมั่นคงทางการเงินในอนาคต การสนับสนุนให้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจลงทุน การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะช่วยให้ขั้นตอนต่าง ๆ ง่ายและรวดเร็วขึ้นรวมถึง ภาครัฐกำลังผลักดันโครงการเชื่อมโยงระบบ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรได้สะดวก ถือเป็นการขยายฐานนักลงทุนและเพิ่มความแข็งแกร่งของตลาดทุนโดยรวม
ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลท.ทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนรายใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจแห่งอนาคตที่ไทยมีศักยภาพสูง เช่น เฮลท์แคร์,ยานยนต์ไฟฟ้า และพยายามที่จะดึกนักลงทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพเข้ามาร่วมลงทุนมากขึ้น ผ่านกระบวนการพิเศษ ลดขั้นตอนลง จากปัจจุบันที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน เช่น กระบวนการเข้าจดเบียน IPO หลังเกณฑ์ครบถ้วนแล้ว ที่ไทยใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ในขณะที่ฮ่องกง ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน
รวมถึง มีแนวทางในการที่จะเปลี่ยนแปลงการยื่นไฟลลิ่งจากกระดาษ มาเป็นการยื่นผ่านระบบออนไลน์ รวมถึงการกิโยตินกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเวลา
ควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนที่มีอยู่แล้ว ผ่านโครงการ JUMP+
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ตลาดทุนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและประชาชน แต่ยังคงมี “ช่องว่างด้านธรรมาภิบาล” ที่ต้องเร่งแก้ไขเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับมาตรฐานสากล อาทิ ขาดบุคลากรคุณภาพในการกำกับดูแล เช่น กรรมการและผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถ พร้อมกับยกตัวอย่าง ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริษัท JKN และ MORE ,STARK ที่ไม่ได้กระทบเฉพาะนักลงทุนรายย่อย แต่ยังส่งผลต่อบริษัทหลักทรัพย์และกองทุนขนาดใหญ่ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายในและการปั่นราคาหุ้นยังคงเกิดขึ้น ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายล่าช้า ทำให้นักลงทุนบางรายเชื่อว่าสามารถหลีกเลี่ยงบทลงโทษได้
สภาพคล่องและมูลค่าตลาดลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2568 ถูกคาดว่าจะเป็นปีที่มี IPO น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับอดีต สภาพคล่องที่ลดลง ทำให้หลายบริษัทเลื่อนหรือยกเลิกการเข้าตลาดทุน และบางรายเลือกไปจดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกงหรือสิงคโปร์ ขณะที่ หุ้นขนาดเล็กจำนวนมากเกิดปัญหา ให้เกิดข้อสงสัยด้านความโปร่งใสและลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ดร.กอบศักดิ์ เน้นว่า “Trust is the king” ตลาดการเงินจะเติบโตได้ก็ต่อเมื่อมีความเชื่อมั่น หากตลาดเต็มไปด้วยข้อสงสัย นักลงทุนย่อมลังเลที่จะเข้ามามีส่วนร่วม
ทั้งนี้ เห็นด้วยกับข้อเสนอของ OECD ในการที่จะเพิ่มบทบาทนักลงทุนสถาบันที่เป็นผู้ลงทุนระยะยาว ซึ่งทางกระทรวงการคลังและทางตลาดทุนไทย กำลังทำงานร่วมกันในการส่งเสริมกองทุนบำเหน็จบำนาญและการออมเพื่อการเกษียณ ผ่านกองทุนการออมส่วนบุคคล เพื่อสร้างฐานนักลงทุนระยะยาวที่มั่นคง
ขณะที่ นักลงทุนสถาบันจากต่างประเทศยังคงสนใจตลาดไทย แต่ติดข้อจำกัดด้านสภาพคล่องและจำนวนหุ้นที่สามารถลงทุนได้ หากไม่ปรับปรุง อาจทำให้เงินทุนไหลออกไปยังตลาดที่มีทางเลือกมากกว่า
