HoonSmart.com>>บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD)คาดหวังปี 69 เติบโตให้ได้มากที่สุด จากรายได้หลัก Wealth Management พร้อมนำโปรแกรมแห่งอนาคต TradingView มาใช้พัฒนาความรู้ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงเพิ่มผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ให้มากขึ้น เจาะลูกค้ารายย่อยมากขึ้น ด้าน”ไทยสบาย บัส” (TSB) มีมาร์เก็ตแชร์ 40% เมื่อเทียบกับ Traffic ของทั้งระบบ และ EBITDA เริ่มเป็นบวก โอกาสที่จะประสบปัญหาการเงินก็ลดน้อยลง

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (สายงานที่ปรึกษาการลงทุนและความมั่งคั่ง) บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) เปิดเผยว่า ปี 2569 คาดหวังเติบโตให้มากที่สุด สัดส่วนรายได้หลักมาจาก Wealth Management และจะใช้ TradingView ถือว่าเป็นโปรแกรมแห่งอนาคต ที่จะนำมาใช้กับนักลงทุนให้ความรู้ต่อเนื่อง แผนงานปี 2569 จะพัฒนาความรู้ให้กับผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้า (RM), ผู้แนะนำการลงทุน (IC) และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทุก Segment
นอกจากนี้ ปี 2569 จะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้เน้นแต่ลูกค้าสถาบัน ปีหน้าจะเน้นลูกค้า Private bank ลูกค้ารายย่อยเพิ่มมากขึ้น ในแง่ตราสารหนี้ ทำให้บริษัทมีรายได้ในภาวะที่ตลาดตกต่ำขณะนี้ และเอาลูกค้าไปเทรดต่างประเทศ ผ่าน DR เพราะฉะนั้นลูกค้ากลุ่มเดิม ๆ เราจะนำเสนอให้ลูกค้ากลุ่มนี้เทรด Product อื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องยึดติดหุ้นไทยตลอด เพราะว่าสินทรัพย์การลงทุนมีมาก ตลาดปัจจุบันเปิดกว้าง
ที่ผ่านมารายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหลักมาจาก Wealth Management เกินครึ่ง ขณะที่สัดส่วนธุรกิจการซื้อขายหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ลดลง ซึ่งทางบริษัทฯได้มุ่งเป้าจะทำธุรกิจ Wealth Management เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ลดความสำคัญของธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์
“เป้าปี 2568 รักษาเป็นผู้ค้าตราสารหนี้อันดับ 3 ประเด็นหลักทำให้รุกตลาดพันธบัตรได้ค่อนข้างมาก มาจากตัว NCR ที่ค่อนข้างสูง ต้องขอบคุณทางผู้ถือหุ้นที่เร่งระดมทุนออกมาค่อนข้างเยอะ NCR ของบริษัทฯที่วิ่งอยู่เฉลี่ย 200 ตราบใดที่ธุรกรรมตราสารหนี้มีเยอะ มันอาจะ Drop ลงมาอยู่ 100 ต้น ๆ… ซึ่งสามารถเทรดได้ถึง 5 พันล้านบาท การที่เราสามารถทำได้ขนาดนี้ ก็ทำให้ธุรกิจตราสารหนี้ของบริษัทเจริญเติบโตต่อเนื่อง และสามารถรองรับธุรกรรมของลูกค้าได้วันละ 250, 500 ไปถึงวันละ 1,000 ล้านบาท ได้ ขณะที่บริษัทคู่แข่งติดขัดเรื่อง NCR การทำธุรกรรมตรงนี้จึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ตรงนี้เป็นจุดแข็งของบริษัทฯทำให้ตลาดตรงนี้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว และทัดเทียมธนาคารพาณิชย์ได้”
ส่วน“ไทยสบาย บัส” (TSB) มีมาร์เก็ตแชร์ 40% เมื่อเทียบกับ Traffic ของทั้งระบบ และเริ่มมี EBITDA เป็นบวกแล้ว โอกาสที่จะประสบปัญหาการเงินก็ลดน้อยลง การตัดค่าเสื่อมเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่ปริมาณการเดินทาง ถ้าไม่มาตามคาดจะเกิดผลขาดทุน “ไทยสมาย บัส” เปิดมา 3 ปีขาดทุนต่อเนื่อง แต่การเติบโตมาจาก Traffic ที่โตต่อเนื่อง ตอนนี้ทำยังไงก็ได้ให้ Traffic มาให้เร็วที่สุด เพราะจะทำให้ EBITDA ดีขึ้น…ปัจจุบันมีนักลงทุนเข้ามาดูงาน”ไทยสบาย บัส”มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Green Energy หรือแม้กระทั่งรัฐบาลจากประเทศอื่น ๆ ก็เข้ามาดูงาน ถือว่าบริษัทก็เป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศไทย ซึ่งเป็นระบบขนส่งคมนาคมที่เน้นย้ำการลดมลภาวะ
สิ้นสุดไตรมาส 3/2568 บริษัทฯปล่อยกู้ให้”ไทยสมาย บัส”ไปที่ 9,950 ล้านบาท และมี ECL คือการตั้งด้อยค่า 7,615.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเมื่อสิ้นปี 2567 ที่มี ECL ที่ 4,909 ล้านบาท ในกรณีเลวร้ายก็เหลือการตั้งสำรองอีกแค่ 3,300 ล้านบาท ซึ่งก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ
“รถของ”ไทยสมาย บัส”มีการวิ่งเพิ่มขึ้น จาก 1,300 คัน/วัน เพิ่มเป็น 1,600 คันต่อวัน ผู้โดยสารมีการทำจุดสูงสุดใหม่ที่เดือนก.ค.ที่ 10.4 ล้านเที่ยว ส่งผลให้ผลประกอบการช่วง 9 เดือน จาก 1,300 ล้านบาท เป็น 1,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16%”
