HoonSmart.com>>ผลประชุมร่วม สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย-สภาธุรกิจตลาดทุนไทย -ตลท. แก้ปัญหา IPO ซบเซา-ราคาต่ำกว่าจอง เล็งขอ ก.ล.ต.ปรับเกณฑ์ IPO ขยับเพดานจัดสรรหุ้นผู้มีอุปการะคุณ ผู้บริหาร พนักงาน จาก 25% เป็น 40% รุกดึงนักลงทุนระยะยาว กลุ่มสถาบันการเงิน กองทุน เข้าหุ้น IPO มากขึ้น คานแรงขายวันแรกรายย่อย ย้ำไม่กระทบคุณภาพบจ.-ตลาดทุน
นายสมศักดิ์ ศิริขวัญนฤมิตร ประธานชมรมวาณิชธนกิจ (IB Club) สมาคมฯบริษัทหลักทรัพย์ไทย เปิดเผยภายหลัง การหารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เกี่ยวกับหุ้น IPO ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลงต่อเนื่อง และราคาต่ำกว่าจอง ว่า เตรียมขอให้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับเกณฑ์การจัดสรรหุ้น IPO และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ที่ทำให้ต้นทุนการทำ IPO สูงขึ้น เช่น การลดกระบวนการ ลดขั้นตอนบางอย่างลง
ทั้งนี้ จะขอขยายเพดานการจัดสรรหุ้น IPO ที่ปัจจุบันกำหนดไว้ไม่เกิน 25% สำหรับกลุ่มผู้มีความคุ้นเคยกับบริษัท เช่น ผู้บริหาร พนักงาน หรือผู้มีอุปการคุณ ซึ่งถูกมองว่าจำกัดเกินไปในสภาพตลาดปัจจุบัน ข้อเสนอใหม่คือการขยับเพดานขึ้นเป็น 40% เพื่อเพิ่มสัดส่วนของนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นและพร้อมถือหุ้นระยะยาว
นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงการเพิ่มบทบาทของกองทุนรวมและสถาบันการเงิน โดยเฉพาะกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้น SME หรือหุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งปัจจุบันยังไม่ถูกดึงเข้ามาอย่างจริงจัง หากสามารถดึงนักลงทุนกลุ่มนี้เข้ามาลงทุนในหุ้น IPO มากขึ้น จะช่วยสร้างฐานนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ลดแรงขายจากรายย่อยที่มักเทรดสั้น และเพิ่มเสถียรภาพให้กับตลาด IPO
ปัจจุบันเกณฑ์การเข้าตลาดเข้มงวดขึ้น ทั้งการบังคับใช้งบการเงินย้อนหลัง 3 ปี และการปรับเกณฑ์กำไรขั้นต่ำของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ตลาด mai เช่น จากเดิม 10 ล้านบาทเป็น 25 ล้านบาท และรวม 2–3 ปีต้องมีอย่างน้อย 40 ล้านบาท ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯปรับจาก 30–50 ล้านบาทเป็น 75–125 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทขนาดกลางและเล็กจำนวนมากถูก “cut off” ไม่สามารถเข้าตลาดได้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว และปิดกั้นโอกาสของบริษัทที่มีศักยภาพแต่ยังไม่ผ่านเกณฑ์
ด้านการกำกับ ควรการปรับสมดุลระหว่าง “การคัดกรองก่อนเข้าตลาด” กับ “การกำกับดูแลหลังเข้าตลาด” โดยมุ่งเน้นให้บริษัทที่เข้ามาแล้วสามารถรักษามาตรฐานและความโปร่งใสได้จริง มากกว่าการตั้งเกณฑ์สูงจนทำให้บริษัทดีบางรายถูกกันออกไป
“ยืนยัน ว่า การขอให้หน่วยงานกำกับปรับเกณฑ์ IPO ครั้งนี้ ไม่ใช่การ “หย่อนมาตรฐาน” แต่เป็นการทำให้กฎระเบียบสอดคล้องกับสภาพตลาดปัจจุบันที่แตกต่างจากยุคที่ราคาหุ้น IPO เคยพุ่งแรงกว่า 200% เกณฑ์ต้องทำให้เกิด ความคล่องตัวและประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การดึงดูดนักลงทุนระยะยาว เพราะถ้าบริษัทไปจดทะเบียนตลาดอื่น นักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศ จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งระบบ” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า มูลค่าการระดมทุนลดลงต่อเนื่องจากระดับเฉลี่ยปีละ 100,000 ล้านบาทในช่วงปี 2565 เหลือเพียง 40,000 ล้านบาทในปี 2566 เหลือ 20,000 ล้านบาทในปี 2567 และปี 2568 จะอยู่เพียง 12,000 ล้านบาท มีบริษัทเข้าจดทะเบียนเพียง 17 แห่ง ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 30–40 บริษัทต่อปีในอดีต
ปัจจัยหลักที่กดดัน IPO มาจาก 3 เรื่อง ได้แก่
1.บรรยากาศการลงทุนและ sentiment ที่อ่อนแรง ทำให้มูลค่าการซื้อขายไม่เอื้อต่อการระดมทุน
2. ต้นทุนการเข้าตลาดสูงขึ้น จากการปรับเกณฑ์คุณภาพ เช่น การบังคับใช้งบการเงินย้อนหลัง 3 ปี ทำให้บริษัทต้องใช้ทั้งเงินและเวลามากขึ้นในการเตรียมความพร้อม
3. การจัดสรรหุ้น IPO ที่ยังไม่ตอบโจทย์ นักลงทุนระยะยาว โดยหุ้นส่วนใหญ่กระจายไปยังรายย่อยซึ่งมักขายทันทีในวันแรก ส่งผลให้ราคาหุ้นเปิดตัวต่ำและยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่น
“บรรยากาศตลาดทุนไทยวันนี้แตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง นักลงทุนเผชิญ sentiment ที่อ่อนแรง ขณะที่กลไกการกำกับดูแลและ surveillance ของตลาดยังคงทำงานเพื่อป้องกันการบิดเบือนราคา หากมีการผ่อนปรนบางเกณฑ์ในการจัดสรรหุ้น IPO ให้กับผู้ที่มีความเชื่อมั่นและเข้าใจธุรกิจจริง อาจช่วยสร้างเสถียรภาพระยะสั้นได้ โดยไม่กระทบต่อมาตรฐานการกำกับดูแล”นายสมศักดิ์ กล่าว
สำหรับ กลไกการกำหนดราคา IPO เป็นการเจรจาระหว่างบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์และผู้จัดจำหน่าย (underwriter) โดยมีที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ข้อมูลจากนักวิเคราะห์และความเห็นของนักลงทุนถูกนำมาใช้เป็นไกด์ไลน์
แต่ราคาสุดท้ายขึ้นอยู่กับการ balance ระหว่างความคาดหวังของบริษัทและความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ ซึ่งสะท้อนว่าการตั้งราคาไม่ใช่การ “ตามใจลูกค้า” แต่เป็นผลลัพธ์ของกลไกตลาดที่ต้องอิงทั้งข้อมูลพื้นฐานและบรรยากาศการลงทุน
