
สัปดาห์ที่ผ่านมา NVIDIA ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2025 ที่ แข็งแกร่ง ทั้งรายได้ กำไร และยอดคำสั่งซื้อใหม่ ล้วนสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ในทุกมิติ งบของ Nvidia เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าอุตสาหกรรม AI ยังอยู่ในช่วง “การเติบโตอย่างรวดเร็ว” เนื่องจากบริษัทต่างๆ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับดีมานด์จำนวนมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ตลาดกลับตอบรับในเชิงลบ ซึ่งสร้างความย้อนแย้ง ที่ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามว่า เหตุใดข่าวดีของ NVIDIA จึงไม่สามารถพยุงราคาหุ้นได้ ทั้งที่พื้นฐานธุรกิจไม่ได้ชะลอตัวลงเลย
เมื่อพิจารณาลึกลงไป จะพบว่าตลาดไม่ได้ผิดหวังกับปัจจัยพื้นฐาน (Micro) ของ NVIDIA เลย สิ่งที่กำลังกดดันราคาหุ้นและกดดันตลาดโดยรวมในช่วงเวลานี้ คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค (Macro) ที่อยู่นอกเหนือพื้นฐานของบริษัทโดยตรง เช่น ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ FED, การเร่งตัวของ Bond Yield, ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประเด็นการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ล่าช้า
แต่เผอิญว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่เป็นกลุ่มที่นักลงทุนให้ “ความคาดหวัง” สูงสุด มี Valuation ที่ค่อนข้างสูง และเป็นกลุ่มที่มีการถือครองมากที่สุดในพอร์ตของนักลงทุนรายใหญ่ทั่วโลก เมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หุ้นกลุ่มนี้จึงกลายเป็น “เป้าหมายหลัก” ของการลดความเสี่ยงและการเทขายทำกำไร เพื่อรักษาสภาพคล่อง ซึ่งเป็นกลไกปกติที่ทำให้ราคาย่อตัวลงมา
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ผมมองว่าไม่ได้เป็นสัญญาณว่าเทรนด์ของ AI เริ่มแผ่วลง หรือธุรกิจของ NVIDIA สะดุดลงแต่อย่างใด แต่เป็นเพียง บรรยากาศการลงทุนที่ไม่เป็นใจ มากกว่า เพราะ หากมองในภาพกว้างจะเห็นชัดว่าบริษัททั่วโลกกำลังทุ่มเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อสร้าง Data Center ยุคใหม่ที่ออกแบบมาสำหรับ AI โดยเฉพาะ ตัวเลขการคาดการณ์จากหลายสำนักชี้ว่าจนถึงปี 2030 เงินลงทุนรวมอาจพุ่งสูงถึง $3–4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งงบประมาณก้อนใหญ่นี้ส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในการสร้าง AI compute และ networking infrastructure ซึ่ง NVIDIA ยังคงเป็นผู้เล่นหลักแบบแทบจะไร้คู่แข่ง ด้วยความได้เปรียบทั้งในด้านความเร็วของชิป, ระบบซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง, และ Ecosystem ที่ทำให้ลูกค้าแทบไม่สามารถย้ายไปใช้ทางเลือกอื่นได้
อีกประเด็นที่ถูกพูดถึงคือ เรื่องหนี้และการระดมทุนในวงการ AI ที่ดูซับซ้อนขึ้น ซึ่งอาจทำให้บางคนคิดว่าอุตสาหกรรมกำลังมีปัญหา แต่ในความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าความต้องการใช้งาน AI เติบโตอย่างรวดเร็ว จนหลายบริษัทต้องเร่งหาแหล่งเงินทุนมาขยายกำลังผลิตให้ทันกับความต้องการของตลาด
ในธุรกิจ AI ผมมองว่าความเสี่ยงส่วนใหญ่จะตกอยู่กับบริษัทที่อยู่ “ปลายน้ำ” เช่น ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์ม ซึ่งต้องเร่งพัฒนาในขณะที่รายได้ยังไม่มาเต็มที่ แต่สำหรับผู้เล่นที่สร้าง “โครงสร้างพื้นฐาน” (ชิป, เซิร์ฟเวอร์, Data Center) จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่ามาก เพราะมีลูกค้าสั่งจองล่วงหน้าเป็นปี และมีเทคโนโลยีที่สร้าง “Moat” ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่นได้ยาก และ ความเข้าใจว่าธุรกิจปลายน้ำโตช้า แปลว่าทั้งอุตสาหกรรมชะลอ ก็ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นต้องถูก “เร่งลงทุนก่อนเสมอ” เพื่อให้ศูนย์ข้อมูล ระบบประมวลผลพร้อมใช้งาน ซึ่งกำลังเกิดขึ้นจากทุกภาคส่วนทั่วโลก และเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเหล่านี้คือ “เชื้อไฟ” ที่สำคัญที่สุดที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่อไป
สรุปแล้ว การที่ราคาหุ้น NVIDIA ย่อตัวลงมาในช่วงนี้ ไม่ได้สะท้อนถึงการชะลอตัวของอุตสาหกรรม AI แม้แต่น้อย เนื่องจากงบลงทุนด้าน Data Center ของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (บางรายงานคาดว่าปีหน้าอาจแตะระดับ $600 พันล้านดอลลาร์) ยอดสั่งซื้อชิปรุ่นใหม่อย่าง Blackwell และ Rubin ที่รอส่งมอบก็ยังสูงใกล้ระดับ $500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งชัดเจนว่าราคาหุ้น NVIDIA และกลุ่ม Technology ในช่วงนี้ถูกกดดันจากภาพ Macro โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ย ซึ่งกดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหมด ในขณะที่ตัวธุรกิจจริงยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
การย่อตัวของราคาของหุ้นกลุ่ม Technology ในช่วงนี้ ผมมองว่า เป็นการย่อตัวลงในระยะสั้น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพื้นฐานที่แท้จริงของอุตสาหกรรม AI ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะยาว จึงเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าทยอยลงทุนในหุ้น และ กองทุนกลุ่ม Technology เพราะเมื่อหากพิจารณาแล้วว่าการปรับฐานลงมาของราคาเกิดจากปัจจัยภายนอก ไม่ได้กระทบต่อพื้นฐานของราคาก็เป็นจังหวะเข้าลงทุนที่หาไม่ได้บ่อยๆ เหมือนกับรถที่ “วนกลับมารับ” นักลงทุนที่ตกรถไปก่อนหน้านี้นั่นเอง
