HoonSmart.com>>”ไออาร์พีซี“(IRPC) ไตรมาส 4/68 สเปรดปิโตรเลียมดีขึ้น แต่สเปรดปิโตรเคมีอาจลดลง เหตุอุปทานล้น ส่วนปี 69 แนวโน้มปิโตรเลียม-ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีใกล้เคียงกับปี 68 หวังนโยบายจีนจำกัดการผลิตปิโตรเคมี ช่วยลดแรงกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ บริษัทฯมีเงินสดราว 2 หมื่นล้านบาท สภาพคล่องเพียงพอที่จะใช้ปีนี้ และชำระหนี้ในปีหน้า ลดเป้า Net Zero ลงเป็นปี 2593
นางสาวมนทกานติ์ นาราช ผู้จัดการอาวุโส นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) กล่าวว่า ธุรกิจปิโตรเลียมในไตรมาส 4/2568 สเปรดน่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบไตรมาส 3 เนื่องจากปัจจัยบวกการที่มีการปิดซ่อมบำรุง ทำให้ Product Supply อาจสนับสนุนด้านส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ และยังมีปัจจัยบวกจากความต้องการใช้ในช่วงฤดูหนาวในช่วงปลายปี แต่ก็มีปัจจัยลบจากโอเปกเพิ่มกำลังการผลิตจากที่เคยลดกำลังการผลิต
ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี สเปรดอาจปรับตัวลดลง เนื่องจากภาวะอุปทานล้นตลาดเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคาและส่วนต่างผลิตภัณฑ์ รวมถึงยังมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกที่ต้องติดตาม อาจส่งผลต่อการลงทุน และการบริโภค รวมถึงความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเช่นกัน แต่ก็มีปัจจัยบวกจากอุปสงค์ของประเทศในปลายปีจะฟื้นตัวตามฤดูกาล, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ปัจจัยภายนอกส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ และราคาผลิตภัณฑ์ เช่นนโยบายการผลิตของกลุ่มโอเปกที่ต้องมอนิเตอร์ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือลดลง ก็จะมีผลกระทบต่อดีมานด์ ปัจจุบันเศรษฐกิจมีแนวโน้มซบเซา ก็มีความท้าทาย และธนาคารกลางสหรัฐยังมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ย
ในปี 2569 แนวโน้มปิโตรเลียมคงจะใกล้เคียงกับปี 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนตามฤดูกาล แต่อาจมีปัจจัยพิเศษระหว่างทาง เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด สำหรับแนวโน้มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของ PP และ HDPE ค่าเฉลี่ยน่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีนี้ ขณะที่ AVS สเปรดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากยังมี Over supply กดดันตลาด อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจากนโยบายของรัฐบาลจีน คาดว่าจะประกาศใช้ปี 2569 อาจช่วยลดแรงกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบได้ เพราะอาจจำกัดปริมาณการผลิตในจีนลงได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนงบลงทุนในปี 2569 ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ และผู้บริหาร บริษัทฯไม่ได้มีแผน Maintenance Shutdown ในส่วนของปิโตรเลียม ประเมินการ Operate สามารถทำได้โดยตลอดในปี 2569 ส่วนปิโตรเคมี ทางบริษัทฯก็มีแผนปิดซ่อมบำรุงเครื่องจักรในปี 2569 หลัก ๆ อยู่ที่ 2 ผลิตภัณฑ์ คือ HDPE มีแผน Shutdown ประมาณ 6 วัน และ PP จำนวน 10 วันในไตรมาสแรก , 16 วันในไตรมาส 2 และ 2 วันในไตรมาส 4
น.ส.สุจิตรา เผือกพิบูลย์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส การเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ IRPC เปิดเผยว่า เพื่อขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ได้แบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ระยะ ได้แก่ การสร้างความมั่นคงในระยะสั้น การเสริมความแข็งแกร่งในระยะกลาง และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.ระยะสั้น จะเริ่มจากการทำ Re-Capitalize ด้วยการทำ Asset Monetization เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากการบริหารทรัพย์สิน ทำให้เกิดมูลค่าสูงสุดในทรัพย์สินที่มีอยู่ โดยตั้งเป้าดำเนินการในปี 2568 ถึงครึ่งแรกของปี 2569
2. จะเริ่มเข้าสู่ Re-frame เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืน มีการเร่งปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนลยีดิจิทัล มีการปรับรูปแบบธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พัฒนาศักยภาพบุคลากร และเสริมระบบการทำงานสู่มาตรฐานระดับสากล
3. Re-vitalize เป็นการยกระดับประสิทธิภาพ และสมรรถนะของธุรกิจหลัก ได้แก่ ปิโตรเลียม และปิโตรเคมี โดยเดินหน้าปรับโครงสร้างต้นทุน และกระบวนการปฏิบัติงาน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันต่อเนื่อง เช่นการบริหารต้นทุน การจัดหาวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ การพัฒนาและเสริมความร่วมมือกับลูกค้า และพันธมิตร
4. Re-Invent เป็นการขยายธุรกิจใหม่เพื่อเติบโตในระยะยาว บริษัทต่อยอดธุรกิจ ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องด้านเงินทุน เพื่อสอดรับความต้องการตลาดในอนาคต
ส่วนการผลักดันการลดก๊าซคาร์บอนได้ปรับลดเป้าหมาย Net Zero จากปี 2603 เป็นปี 2593 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของประเทศไทย และกลุ่มปตท. ให้มีความสอดคล้องกันตลอดทั้ง Supply Chain เกิดความร่วมมือกันภายในกลุ่มปตท. และจะต้องมีผลประโยชน์กลับมาให้บริษัท ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Carbon Tax หรือภาษีต่าง ๆ โดยบริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์การดำนินการด้านความยั่งยืน
“บริษัทฯมีเงินสดอยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท สภาพคล่องเพียงพอที่จะใช้ในปีนี้ รวมถึงพอที่ใช้ชำระหนี้ที่มีภาระในปีหน้า ซึ่งการลดหนี้ มีทั้งเงินกู้ และหุ้นกู้ที่จะทยอยลดลงตามลำดับ ”
สำหรับค่าเงินบาทอ่อนจะมีผลต่อบริษัทฯมากกว่า ทำให้ EBITDA ของบริษัทสูงขึ้น แต่มีการเฮดจ์จิ้งด้านอัตราแลกเปลี่ยน คือมีการเอาเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่ได้จากการส่งออก หรือขายสินค้า มีการนำไปขาย Dollar Forward ล่วงหน้า เพราะฉะนั้นเวลาที่เงินบาทอ่อน/แข็ง จะมีกำไรจากการทำเฮดจ์จิ้ง เป็นตัวเสริมทำให้การเคลื่อนไหว FX มีผลต่อบริษัทน้อย
