บลจ.กรุงศรี ยังมั่นใจหุ้นไทยปี 2562 ได้เห็น 1,800 – 1,900 จุด

บลจ.กรุงศรี คาดตลาดหุ้นไทยปี 2562 ยังน่าสนใจ แม้จะผันผวนจากเงินทุนต่างชาติ-ปัจจัยภายนอก SET Index มีโอกาสวิ่งไปถึง 1,800 – 1,900 จุด ในอีก 12 เดือน ระบุลงทุนตราสารหนี้ระยะยาวไม่ต้องกังวลการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากเกินไป

นางสุภาพร ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า แม้ว่าในระยะสั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย อาจผันผวนและเคลื่อนไหวตามกระแสเงินลงทุนต่างชาติและปัจจัยภายนอกประเทศอยู่บ้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค ตลาดหุ้นไทยยังลงทุน โดยคาดว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นถึง 1,800 – 1,900 จุดในอีก 12 เดือนข้างหน้า

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยมีค่า P/E ปี 2562 อยู่ที่ 14.0 เท่า ขณะที่อินโดนีเซีย อยู่ที่ 14.3 เท่า และ ฟิลิปปินส์ 15.4 เท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของไทยอยู่ที่ 3.4% สูงกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์

“นอกจากนี้ ในระยะกลางถึงยาวการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยไทยที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงแข็งแกร่ง การใช้จ่ายภาครัฐฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัว การเลือกตั้งที่มีความชัดเจนมากขึ้น และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 ของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 13.27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน” นางสุภาพร กล่าว

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ในปี 2562 นางสุภาพร กล่าวว่า มีปัจจัยที่จะส่งผลต่อความเคลื่อนไหวมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจัยต่างประเทศจะมาจากแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของกลุ่มประเทศขนาดใหญ่และปัญหาการเผชิญหน้าในสงครามการค้าที่อาจจะยืดเยื้อจนส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่

“เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่โดยเฉพาะประเทศจีนและประเทศที่เกี่ยวข้องจะชะลอตัวลง จนส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนในตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เพราะกลัวผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและจะเลือกลงทุนเฉพาะในประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านต่างประเทศมั่นคงเป็นหลัก”

สุภาพร ลีนะบรรจง

ขณะที่นโยบายการเงินในสหรัฐ ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในวัฏจักร รอบนี้แล้ว โดยคาดว่า เฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปี 2562 เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังขยายตัวได้ดี ส่วนธนาคารกลางยุโรปได้ประกาศยุติโครงการเข้าซื้อพันธบัตรแล้ว และคาดว่าจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวทางชัดเจนขึ้น

สำหรับปัจจัยภายในประเทศคาดว่า นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศและทิศทางนโยบายการเงินของไทยเป็นหลัก โดยข้อมูลเศรษฐกิจที่ประกาศในช่วงไตรมาสสามเริ่มสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมการขยายตัวของไทยเริ่มชะลอลงสอดคล้องกับภูมิภาคโดยมีภาคต่างประเทศทั้งการส่งออกและท่องเที่ยวเป็นตัวฉุด ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนยังคงเติบโตได้อยู่ ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐยังมีความมั่นใจในการเติบโตของไทยแม้จะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ในปีนี้และปีหน้าลงบ้าง
ส่วนโยบายการเงินของไทยนั้น ภายหลังจากที่ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตามที่ตลาดคาดไว้ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยเริ่มกลับมาปรับตัวลดลง โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุคงเหลือช่วงกลางถึงยาว เพราะนักลงทุนคาดว่าอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำจะเป็นปัจจัยกดดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยปรับขึ้นได้ไม่มากเท่ากับของสหรัฐ อีกทั้งพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุคงเหลือยาวมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้ออยู่เป็นระยะ

“ผลกระทบกับตลาดตราสารหนี้จากการขึ้นดอกเบี้ยน่าจะอยู่ในระดับที่จำกัด เนื่องจากภาวะตลาดและ นักลงทุนได้รับรู้ข่าวการขึ้นดอกเบี้ยไปก่อนหน้าแล้ว และคาดว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะรอประเมินผลกระทบและทิศทางเศรษฐกิจไทยอีกระยะหนึ่งก่อนจะพิจารณาถึงโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไป ดังนั้นผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในปี 2562 น่าจะสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงหรือดีกว่าปีนี้ นักลงทุนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนระยะยาวไม่ควรวิตกกังวลเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากเกินไป” นางสุภาพร กล่าว

นางสุภาพร ยังกล่าวถึงมุมมองต่อการลงทุนในต่างประเทศว่า มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม 3 ปัจจัย ได้แก่ ความไม่แน่นอนในการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ความตึงเครียดประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ และความกังวลในยุโรป

ทั้งนี้ ความกังวลในยุโรปมี 3 ประเด็น ประกอบด้วย

ประเด็นที่หนึ่งการถอนมาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรปในเดือนธันวาคม ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจกลับมาทรุดตัวอีกครั้ง

ประเด็นที่สองคือความกังวลที่อิตาลีอาจนำไปสู่วิกฤตหนี้ยุโรปอีกครั้ง โดยอิตาลีมีหนี้อยู่ในระดับที่สูงถึง 131% ต่อ GDP ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในยุโรป หากเปรียบเทียบกับหนี้ของกรีซที่เป็นชนวนให้เกิดการทรุดตัวของดัชนียุโรปในปี 2012 แล้ว หนี้สินของอิตาลีมีความใหญ่กว่าหลายเท่า หากปัญหาครั้งนี้เริ่มจากอิตาลีก็มีความเป็นไปได้ที่วิกฤตนี้อาจใหญ่เกินที่สหภาพยุโรปจะรับไหว

ประเด็นที่สามคือการที่พรรคขวาจัดเริ่มได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างมีนัยยะในปีที่ผ่านมา และนโยบายของผู้นำที่ถูกเลือกขึ้นมามักจะมีลักษณะประชานิยมเน้นเอาประโยชน์ของประเทศตนเป็นหลัก ไม่คำนึงความเป็นสหภาพยุโรปหรือส่วนรวม ดังที่เห็นได้จากการต่อต้านและแข็งข้อกับสหภาพยุโรปมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การแตกแยกได้ในอนาคต

แม้ว่าในปัจจุบันความเสี่ยงนี้ยังมีไม่มาก ซึ่งประเทศดังกล่าว ได้แก่ กรีซ สเปน อังกฤษ อิตาลี โปแลนด์ และล่าสุด เยอรมัน ที่พรรค CDU ของนาง Angela Merkel เริ่มสูญเสียคะแนนเสียงให้กับพรรคขวาจัดจนนาง Angela Merkel ประกาศวางมือที่จะเป็นผู้นำของพรรคต่อหลังจากหมดวาระในรอบนี้แล้ว

“ภาพรวมของตลาดยุโรปในปี 2562 คาดว่าจะเผชิญกับความท้าทายในประเด็นของความไม่แน่นอนด้านการเมืองและมีความเสี่ยงที่ปัญหาหนี้สินยุโรปจะกลับมาเป็นประเด็นกดดันตลาดอีกครั้ง” ” นางสุภาพร กล่าว

ด้านการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอาจมีท่าทีชะลอลงจากคาดการณ์ว่าจะขึ้น 3 ครั้งลงมาเหลือ 2 ครั้งในปีหน้า หากตัวเลขเศรษฐกิจในรอบหน้าได้รับผลกระทบจากประเด็นสงครามการค้าและตัวเลขเงินเฟ้อไม่ได้ร้อนแรงอย่างที่กังวลในต้นปี เนื่องจากราคาน้ำมันนั้นได้ปรับตัวลดลงมาอย่างมากในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนั้นจะส่งผลดีต่อกองทุนตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามในต้นปีหน้ามีความเสี่ยงที่ประเด็นสงครามการค้าจะกลับมาส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดทั่วโลกอีกครั้ง