HoonSmart.com>>สภาพัฒน์แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 โตชะลอ 1.2% ลงจากไตรมาส2 ที่ 2.8% เป็นการลดครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส แต่ไม่ฟันธงถดถอยทางเทคนิค รวม 9 เดือนขยายตัว 2.4% ส่วนไตรมาส 4 หวังมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลหนุนโตมากกว่า 0.6% รวมทั้งปีนี้ขยายตัว 2.0% ปีหน้า 1.7% เสนอ 7 มาตรการให้รัฐเร่งดำเนินการ ชี้ 4 ปัจจัยบวกและ 5 ปัจจัยเสี่ยง ทางด้าน “คนละครึ่งพลัส” 8.8 แสนรายใช้วงเงินครบแล้ว เงินสะพัดกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท

น.ส.อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒน์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในไตรมาส 3/2568 เติบโต 1.2% ชะลอลงจากไตรมาส 2 ที่ 2.8% ลดครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส แต่ข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะระบุว่ามีโอกาสจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ โดยรวม 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ขยายตัวเฉลี่ย 2.4% ส่วนไตรมาสที่ 4 อาจจะขยายตัวได้ไม่ถึง 1% หรืออาจอยู่ที่ราว 0.6% รวมทั้งปีนี้จะขยายตัว 2.0% ส่วนในปี 2569 คาดจะขยายตัวได้ 1.7% (กรอบ 1.2-2.2%) แต่ไตรมาส 4 ยังมีโอกาสจะขยายตัวได้มากกว่า 0.6% ซึ่งต้องรอดูผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะทยอยออกมาเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นแรงส่งที่สำคัญไปยังเศรษฐกิจในปี 2569
ปัจจุบันมาตรการต่าง ๆ เช่น คนละครึ่งพลัส ได้รับการตอบสนองดี เป็นแรงส่งบวกต่อการใช้จ่าย มีความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น เรื่องเศรษฐกิจนอกขึ้นขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานแล้ว ส่วนหนึ่งยังมาจาก sentiment ที่จะนำไปสู่การสร้างพื้นฐานระบบเศรษฐกิจได้ หากมีนโยบายเพิ่มเติมในไตรมาส 4 ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในปีหน้าได้ และการลงทุนจากภาครัฐจะมีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลเร่งจัดงบประมาณปี 70 ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่จะมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการก่อสร้าง ส่วนการส่งออก เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น การเจรจาทางการค้าก็จะมีบทบาทที่สำคัญมากเช่นกัน รวมถึงจะต้องเร่งหาตลาดใหม่ โดยตลาดที่ยังมีศักยภาพสูง เช่น เอเชียใต้ และแอฟริกา
สภาพัฒน์ ได้นำเสนอประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 และปี 2569 ที่ควรให้ความสำคัญ ดังนี้
1. การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการเบิกจ่ายงบลงทุน ภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ไม่ต่ำกว่า 75% ของกรอบงบรายจ่ายลงทุน และเร่งรัดกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ปี 2570 เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยไม่ล่าช้า ควบคู่กับการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง เพื่อรองรับความเสี่ยงที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูง
2. เร่งรัดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความปลอดภัยและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว แก้ปัญหาอาชญากรรม และเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติที่แฝงตัวกับภาคการท่องเที่ยว เร่งเจรจากับพันธมิตรสายการบิน เพื่อเพิ่มความถี่ของเที่ยวบิน และเปิดเส้นทางบินใหม่ รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง
3. การดูแลภาคเกษตร โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ให้สามารถฟื้นตัวและมีความพร้อมสำหรับการเพาะปลูกในฤดูกาลเพาะปลูก ปี 2569/2570 ตลอดจนการเตรียมความพร้อมรองรับผลผลิตทางการเกษตรที่จะออกสู่ตลาดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่มีปริมาณผลผลิตสูง และเร่งรัดโครงการสำคัญภายใต้แผนบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดความเสียหายจากปัญหาภัยพิบัติ
4. การขับเคลื่อนภาคการส่งออก โดยให้ความสำคัญการลดต้นทุนการผลิตของภาคการผลิตและการส่งออก เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก การลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ โดยเร่งกระบวนการเจรจาที่จะนำไปสู่ข้อตกลงกับสหรัฐฯ รวมทั้งเร่งขยายตลาดใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ
5. การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติ และการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2567-2569 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว รวมทั้งเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
6. การแก้ไขปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ได้แก่ การลดแรงกดดันจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ในภาคครัวเรือน การให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่อง รวมทั้งเร่งดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน
7. การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมือง ในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง เป็นประเด็นสำคัญมากที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งคนไทย และต่างประเทศ
“รัฐบาลต้องรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองให้มีความราบรื่นในช่วงการเปลี่ยนผ่าน หากรัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายทั้ง 7 ข้อได้อย่างจริงจังและชัดเจน โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจในปี 2569 เติบโตได้ดี”
ส่วนกรณีที่สภาพัฒน์ ประเมินว่า เศรษฐกิจปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1.2-2.2% (ค่ากลาง 1.7%) โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ดังนี้
1. การขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการใช้จ่ายในสินค้าคงทนและภาคบริการ ตามการฟื้นตัวของยอดการจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว เช่นเดียวกับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร ที่ขยายตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
2. การขยายตัวต่อเนื่องของแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาลสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี และงบรายจ่ายเหลื่อมปี ประจำปีงบประมาณ 2569
3. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และบริการที่เกี่ยวเนื่อง สอดคล้องกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวน และรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเที่ยวบินเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง
4. การเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตรโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณน้ำที่มากเพียงพอ และแนวโน้มการปรับเข้าสู่สภาวะเป็นกลาง (Neutral) ของสถานการณ์เอนโซ นับตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจ ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ดังนี้
1. การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า โดยการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บต่อประเทศไทยผ่านผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้า ผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะจากการถ่ายลำ (Transshipment) และผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในประเทศ เนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ
2. แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก โดยมีความเสี่ยงจากความยืดเยื้อ และความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้า ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ และความเสี่ยงจากแนวโน้มวัฎจักรขาลงของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของตลาดทุน อันเนื่องมาจากแนวโน้มการปรับฐานราคาหลักทรัพย์ของบริษัทเทคโนโลยี
3. ภาระหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง เป็นข้อจำกัดในการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ สัดส่วนหนี้ครัวเรือนแม้จะลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อครัวเรือน และสินเชื่อภาคธุรกิจ SMEs มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงด้านเครดิต
4. ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจ และการเงินโลก
5. บรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมือง ในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคธุรกิจที่อาจมีความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การชะลอการลงทุนใหม่ หรือขยายการผลิต นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจจะส่งผลให้กระบวนการจัดทำงบประมาณมีความล่าช้า
ทางด้านกระทรวงการคลัง เปิดเผยข้อมูลการใช้สิทธิโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ล่าสุด ณ วันที่ 16 พ.ย.2568 เวลา 23.00 น. มีประชาชนที่ลงทะเบียนใช้สิทธิครบเต็มจำนวนแล้ว (2,000 บาท หรือ 2,400 บาท) จำนวน 883,104 ราย ขณะที่มีร้านค้าผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้ว 934,806 ร้านค้า
ส่วนการใช้จ่ายในโครงการฯมียอดรวมทั้งสิ้น 42,183 ล้านบาท แยกเป็นการใช้จ่ายในร้านค้าปกติ 41,222 ล้านบาท และร้านค้าผ่าน Food Delivery Platform อีก 961 ล้านบาท สำหรับยอดการใช้จ่ายรวม 42,183 ล้านบาทนั้น เป็นเงินที่ประชาชนใช้จ่าย 21,379 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่าย 20,803 ล้านบาท
ทั้งนี้ประชาชนที่ได้รับสิทธิตามโครงการนี้ สามารถใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ ตามเงื่อนไขที่กำหนด ภายในวันที่ 29 ต.ค. – 31 ธ.ค.68
