โดย..สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP
ตอนนี้ภาวการณ์ลงทุนต่างๆไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนในหุ้นเลยจริงๆ ที่ซื้อไปคิดว่าซื้อได้ถูกแล้ว เพราะดูกราฟก็ใช่จังหวะซื้อแล้ว แต่ทำไมว่าซื้อถูกแล้ว วันรุ่งขึ้นกลับกลายเป็นซื้อแพงไปได้ หรือเห็นหุ้นต่างชาติขึ้นเพราะข่าวดีต่างๆ ไม่ว่าจีนกับอเมริกาน่าจะคุยกันง่ายขึ้น เช้ามาก็คาดว่าหุ้นไทยจะขึ้นตาม ตลาดหุ้นไทยก็ดันยึดมั่นในแนวทางของตนเองคือ ใครจะขึ้นก็ขึ้นไป ตรูจะลงอย่างเดียว
สรุป ก็เลยตอนนี้ พอร์ตหุ้นของผมก็แดงเรียบร้อยทั้งพอร์ต แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรดี
1.ขายทิ้งทั้งพอร์ตเลยดีมั๊ย Cut loss ไปเลย กลยุทธ์พื้นฐานของการลงทุน
2.ถือต่อดี ไม่ขายไม่ขาดทุน
3.ซื้อเพิ่มดีกว่า “จงกล้าตอนที่คนอื่นกลัว จงกลัวตอนที่คนอื่นกล้า” คำพูดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กูรูการลงทุนของโลกลอยเข้ามาในหูเลย
สำหรับผม การลงทุน คือ การจ่ายเงินในปัจจุบัน (ราคาซื้อคือต้นทุน) เพื่อผลตอบแทนในอนาคต ดังนั้นผลตอบแทนในอนาคตจะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับ
• อนาคตของเรายาวแค่ไหน หมายถึงระยะเวลาในการถือครองหุ้นของเรานานแค่ไหน บางคนเป็นระยะเวลา 1 วันบ้าง 1 สัปดาห์บ้าง 1 เดือนบ้าง 1 ปีบ้าง บางคนอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ มองเป็นการลงทุนในหุ้น คือ การลงทุนในธุรกิจ มองอนาคตยาวไม่ต่ำกว่า 10 ปีเลย
• เลือกหุ้นถูกตัวหรือไม่ หมายถึงหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มของผลประกอบการที่ดีในอนาคตหรือไม่
อนาคตของเรายาวแค่ไหน บอกถึงสไตล์การเล่นหุ้นของเรา ถ้าระยะเวลาการลงทุนสั้น คงไม่ต้องไปวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอะไรให้มากนัก เพราะปัจจัยพื้นฐานบอกถึงแนวโน้มของธุรกิจระยะยาว ไม่ใช่ระยะเวลา 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนแน่นอน วิธีที่เหมาะคือ การลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิค จะใช้เครื่องมือตัวไหน ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ถ้าเป็นคนลงทุนระยะสั้น เน้นเก็งกำไร เข้าเร็ว ออกเร็ว ก็ต้องมีวินัยทำตามเทคนิคที่ใช้กัน ขาดทุนก็ต้อง cut loss เป็น
แต่ถ้าเป็นคนลงทุนระยะยาว สำคัญต้องเลือกหุ้นให้ถูกตัว การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะมีความสำคัญ ถ้าหุ้นยังมีพื้นฐานที่ดีอยู่ ราคาที่ลดลง ถ้าลดเพราะเหตุการณ์ชั่วคราว ไม่ได้กระทบกับผลประกอบการในอนาคต อย่างเช่น ภาวะตลาดไม่ดี ทำให้หุ้นทุกตัวในตลาดลงหมด ตัวดีๆที่เราถือก็ลงตามเพื่อนไปด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้ การเลือกถือต่ออาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกว่า บางทีอาจซื้อเพิ่มที่ต้นทุนต่ำด้วยซ้ำ
ถ้าจะซื้อเพิ่มที่ต้นทุนต่ำ แปลว่าเราเริ่มมองที่การเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้นแล้ว ดังนั้น จังหวะของการซื้อจะสำคัญมากๆ ไม่ใช่แค่เห็นว่าราคาวันนี้ถูกกว่าเมื่อวาน ก็รีบซื้อ เพราะพรุ่งนี้อาจถูกกว่าวันนี้ก็ได้ ทำให้เราแม้ไม่ได้อยู่บนยอดดอย แต่ก็ยืนหนาวอยู่บนไหล่เขา ชะตากรรมไม่ได้ดีกว่ายอดดอยเท่าไหร่ จะซื้อตอนไหนก็ใช้กราฟเทคนิคเข้าช่วย แต่ต้องมั่นใจนะว่าหุ้นตัวนั้นยังมีพื้นฐานที่ดีจริงๆ อย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ลงทุนในหุ้นคุณค่า (value stock) เท่าที่ทราบมา ก็ลงทุนในหุ้นแต่ละตัวนานหลายปี อย่างคำพูดหนึ่งของวอร์เร็นต์ บัฟเฟตต์ คือ “Our favorite holding period is forever.” แปลว่า “ระยะเวลาการถือครองหุ้นของเราคือ ถือตลอดไป”
ดังนั้น ผมเชื่อว่าต้องเคยเจอภาวะพอร์ตแดงเหมือนอย่างที่เราเจอกันวันนี้แน่ๆ และผมก็มั่นใจอีกเช่นกันว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ได้ตัดสินใจขายหุ้นที่ถืออยู่ เพียงเพราะราคาหุ้นตก แต่คิดว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ น่าจะซื้อหุ้นเพิ่มด้วยซ้ำ จากคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่ว่า “We simply attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful.” ก็คือ
จงกล้าตอนที่คนอื่นกลัว จงกลัวตอนที่คนอื่นกล้านั่นแหละ และที่วอร์เร็นต์ บัฟเฟตต์ ทำอย่างนี้ได้ เพราะเป้าหมายการลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือระยะยาวนั้นเอง
และเขาเชื่อว่า สุดท้ายจะดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะในตลาด ก็ต่อเมื่อวิกฤติต่างๆผ่านไปหมดแล้ว It’s only when the tide goes out that you discover who’s been swimming naked.”
แต่สำหรับบางคนที่เป็นระดับเซียนไปกว่านั้น แม้จะถือหุ้นถูกตัว ก็เลือกวิธีขายหุ้นออกไปก่อน เพื่อจำกัดการขาดทุน และไปรอซื้อใหม่ที่ราคาถูกกว่า คนทำอย่างนี้ได้ต้องเซียนจริงๆ แต่สิ่งที่กังวลแทนก็คือ ราคาหุ้นไม่แน่นอน ที่เราคิดว่าจะลง อาจขึ้นก็ได้ ที่เราคิดว่าจะขึ้น กลับลงก็ได้เหมือนกัน แต่วิธีนี้ผมไม่กล้าใช้ครับ เพราะเคยขายหมูมาเยอะแล้ว ขายเสร็จนึกว่าจะลงต่อ กลับดันขึ้น ทำให้ขาดทุน แต่ต้องกลับไปซื้อใหม่ในราคาต้นทุนที่แพงขึ้นอีก