“KKPS”แนะขั้นตอน “IPO” แบบมือโปร ชี้ช่องเข้าตลาดหุ้นได้แม้ไม่มีกำไร

HoonSmart.com>>เกียรตินาคินภัทร เปิดขั้นตอนเตรียมตัวสู่ IPO โครงสร้างต้องชัด การเติบโตจับต้องได้ แผนใช้เงินโปร่งใส เลือกที่ปรึกษาเข้าใจธุรกิจ ชี้โครงการ BOI to IPO จุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมใหม่ศักยภาพเติบโตสูง เข้าตลาดทุนได้ง่ายแม้ยังไม่มีกำไร

นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ ประธานสายวานิชธนกิจและตลาดทุน บล. เกียรตินาคินภัทร (KKPS) กล่าวในงานสัมมนา “BOI to IPO: ตลาดทุนสร้างการเติบโต” ช่วงเสวนาหัวข้อ “การยกระดับการเติบโต ด้วยกลไกของตลาดทุน”ว่าจากประสบการณ์ในการทำงานด้านวาณิชธนกิจ กว่า 32 ปี พบว่าอย่างน้อย 60%–70% ของบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ล้วนใช้ประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ( BOI) ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ในช่วงหลังมีบริษัทต่างประเทศจำนวนมากที่สนใจเข้ามาลงทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งล้วนอาศัยสิทธิประโยชน์จาก BOI เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงตั้งตัวที่ยังไม่แน่ใจว่าจะอยู่รอดหรือไม่ การได้รับการยกเว้นภาษีเป็นระยะเวลาหลายปีสามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ

ก่อนที่ธุรกิจจะเริ่มต้นและเติบโตอย่างมั่นคง การสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้หลายบริษัทสามารถตั้งหลักได้ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นที่มักเผชิญกับความสับสนด้านภาษี การใช้ที่ดิน และการจัดการบุคลากร ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

แม้ว่า ธุรกิจเริ่มแข็งแรงและขยายตัวจนสามารถจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนได้ สิทธิประโยชน์จาก BOI ยังคงมีบทบาทอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น บริษัท SCG และ บริษัท RBF ที่ยังคงใช้สิทธิประโยชน์จาก BOI แม้จะเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้วก็ตาม

ปัจจุบัน BOI ยังให้ความสำคัญกับธุรกิจในกลุ่ม New Economy โดยเฉพาะแพลตฟอร์มดิจิทัลและสตาร์ทอัพที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แม้หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าธุรกิจเหล่านี้สามารถขอรับการส่งเสริมได้

โครงการ BOI to IPO จะเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจในกลุ่ม New Economy ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง สามารถเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ง่ายขึ้น แม้ธุรกิจยังไม่มีกำไร

เตรียมตัวก่อน IPO อย่างไร

นายอนุวัฒน์ อธิบายขั้นตอนการเตรียมตัวเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ IPO (Initial Public Offering) ว่า ไม่ได้เริ่มต้นจากการมีตัวเลขทางการเงินที่สวยงามเท่านั้น แต่ต้องเริ่มจากการจัดโครงสร้างธุรกิจให้ชัดเจนและเหมาะสม ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถบริหารจัดการได้ด้วยเวลาและความตั้งใจ

1.ต้องจัดระเบียบจัดโครงสร้างธุรกิจและการเงิน โครงสร้างบริษัทต้องชัดเจนว่าเราทำธุรกิจอะไร มีทรัพย์สินอะไรที่เกี่ยวข้อง ส่วนอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องควรแยกออก,โครงสร้างผู้ถือหุ้นต้องโปร่งใสและเหมาะสมกับการเปิดเผยต่อสาธารณะ และโครงสร้างทางการเงินต้องสะท้อนความเป็นจริงของธุรกิจ และสามารถรองรับการเติบโตในอนาคต

2. ความพร้อมด้าน “Mindset” ที่ต้องเข้าใจและยอมรับบทบาทจากการเป็น “เจ้าของ” สู่ “ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน” ที่จะไม่สามารถตัดสินใจทุกอย่างได้ตามใจอีกต่อไป ต้องมีกรรมการอิสระและผู้ถือหุ้นรายย่อยเข้ามาร่วม โดย Mindset นี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่หากปรับตัวไม่ได้ อาจเกิดปัญหาในการบริหารหลังจากหุ้น IPO แล้ว

3.หลังเป็นบริษัทจดทะเบียน จะอยู่ในสายตาของนักลงทุนและนักวิเคราะห์ตลอดเวลา นักลงทุนจะเปรียบเทียบเรากับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เราจึงต้อง “ดีกว่า” ทั้งในด้านตัวเลขและเรื่องราวของธุรกิจ

ตลาดมีความคาดหวังจากบริษัทสูงขึ้น เช่น ต้องการกำไรเพิ่มขึ้น หรือลดต้นทุนลง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ต้องเตรียมรับมือ

4. การเป็นบริษัทจดทะเบียนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ ตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ทั้งการการรายงานทางการเงินต้องแม่นยำและทันเวลา โดยเฉพาะบริษัทที่มีบริษัทย่อย ต้องปรับมาตรฐานบัญชีให้สอดคล้องกัน ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความพร้อมทั้งระบบและทีมงาน

5. ประโยชน์จากการเป็นบริษัทจดทะเบียน จะทำให้การควบรวมธุรกิจสามารถทำได้ง่ายขึ้น เพราะข้อมูลมีความโปร่งใส และสามารถใช้หุ้นแลกเปลี่ยนแทนเงินสด สามารถขยายธุรกิจให้ครบวงจร การลงทุนในต่างประเทศจะได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นจากนักลงทุนต่างชาติ เพราะมีระบบบัญชีที่ตรวจสอบได้

6. การเตรียมตัวร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน (IB) จะช่วยจัดโครงสร้างตั้งแต่ต้น เช่น การจัดการทรัพย์สิน การจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้น และการวางแผนทางการเงิน ที่ต้องพิจารณาว่าแผนการเติบโตของเราคืออะไร และจะใช้เงินทุนจากนักลงทุนอย่างไรให้เกิดผลตอบแทนที่ยั่งยืน โดยนักลงทุนไม่ได้ต้องการให้เรานำเงินไปเก็บไว้เฉย ๆ แต่ต้องการเห็นการเติบโตที่มีเป้าหมายและแผนรองรับ

ถามว่า “ธุรกิจต้องพร้อมแค่ไหนถึงจะเริ่มพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง?” คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้องมีความพร้อมเต็มที่ตั้งแต่ต้น แต่ควรมีความชัดเจนในเป้าหมายระยะกลางและระยะยาวของธุรกิจ เช่น ต้องการเติบโตไปในทิศทางใด มีแผนการใช้เงินอย่างไร และต้องการผลลัพธ์แบบใดจากการเข้าตลาดทุน

การเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของทุกธุรกิจ หลายกิจการที่เข้ามาปรึกษาเพียงต้องการเงินทุน แต่ไม่พร้อมให้บุคคลภายนอกเข้ามามีส่วนร่วม หรือไม่ต้องการเปิดเผยแผนธุรกิจอย่างละเอียด ดังนั้นจึงมีทางเลือกอื่นที่เหมาะสมกว่า IPO

สิ่งสำคัญคือการมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน และเข้าใจข้อดีข้อจำกัดของการเข้าตลาดทุน เพื่อสามารถวางแผนเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม

โดยส่วนตัวมองว่า BOI และตลาดหลักทรัพย์มีความตั้งใจในการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการอย่างจริงจัง โดยไม่จำเป็นต้องมีความพร้อมเต็มที่ก็สามารถเข้ามาพูดคุยได้ ทั้งสองหน่วยงานมีบริการให้คำปรึกษาฟรี และมี IB House หลายสิบแห่งที่พร้อมให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ

การเลือกที่ปรึกษาทางการเงินที่มีแนวทางตรงกับธุรกิจของผู้ประกอบการก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เพราะแต่ละบริษัทมีบริบทและความต้องการที่แตกต่างกัน

โครงการ BOI to IPO เป็นความร่วมมือระหว่าง BOI และตลาดหลักทรัพย์ที่คุยกันมาแล้วกว่า 2–3 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI สามารถเข้าสู่ตลาดทุนได้ง่ายขึ้น แม้จะยังไม่มีกำไรในช่วงแรก เช่น ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ยังไม่สามารถเข้าเกณฑ์ปกติของตลาดหลักทรัพย์

หากธุรกิจได้รับการส่งเสริมจาก BOI ในบางส่วนของรายได้หลัก ก็สามารถเข้าข่ายพิเศษที่ช่วยให้การจดทะเบียนมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมทั้งธุรกิจ

โครงการนี้จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายกิจการ และควรได้รับการเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น