HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดลบ ดาวโจนส์ลดลง 109 จุด แรงขายหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ “Meta – Microsoft” ในกลุ่ม Magnificent Seven หลังผลประกอบการออกมาแตกต่างกัน แม้ขานรับทรัมป์-สีจิ้นผิงสงบศึกทางการค้า นักลงทุนยังประเมินทิศทางดอกเบี้ยมีโอกาส 70% ลดลงอีกเดือนธ.ค.นี้ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ขยับขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 30ตุลาคม 2568 ปิดที่ 47,522.12 จุด ลดลง 109.88 จุด หรือ -0.23% จากการที่ร่วงลงของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ Meta และ Microsoft ในกลุ่ม Magnificent Seven หลังผลประกอบการออกมาแตกต่างกัน รวมไปถึงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน ตลอดจนทิศทางดอกเบี้ย
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,822.34 จุด ลดลง 68.25 จุด, -0.99%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,581.14 จุด ลดลง 377.33 จุด, -1.57%
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้ง Alphabet, Meta และ Microsoft ต่างรายงานผลประกอบการไตรมาสสามหลังตลาดปิดทำการในวันพุธ หุ้น Alphabet พุ่งขึ้น 2.5% จากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นของ Meta และ Microsoft กลับร่วงลงมากกว่า 11% และประมาณ 3% ตามลำดับ นักลงทุนเริ่มกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของทั้ง Meta และ Microsoft
การปรับตัวลงของหุ้น Meta และ Microsoft ถือเป็นการสลับออกจากหุ้นเทคโนโลยีในชั่วโมงซื้อขายไปกลุ่มอื่น โดยหุ้นธนาคารทั้ง JPMorgan และ Bank of America กลับปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์เป็นผลจากผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่งเกินคาดของ Eli Lilly และการปรับเพิ่มประมาณการผลการดำเนินงาน โดยราคาหุ้น Eli Lilly เพิ่มขึ้นเกือบ 4%
นักลงทุนยังรอผลประกอบการรายไตรมาสจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายอื่นทั้ง Apple และ Amazon หลังตลาดเปิดทำการ
ขณะเดียวกัน การขานรับการประชุมระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิงมีความหลากหลาย แม้จะมีการสงบศึกทางการค้าอย่างได้ผลเป็นเวลาหนึ่งปีก็ตาม โดยสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลจากจีนลงครึ่งหนึ่ง เพื่อแลกกับการที่ปักกิ่งจะระงับการควบคุมการนำเข้าแร่ธาตุหายากเป็นเวลา 12 เดือน ขณะที่จีนให้คำมั่นว่าจะเริ่มซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ อีกครั้ง
แต่ปัญหาของเซมิคอนดักเตอร์ไม่ได้กล่าวถึงในข้อตกลง ส่งผลให้ราคาหุ้น Nvidia ผู้ผลิตชิป AI รายใหญ่ลดลงกว่า 2% เช่นเดียวกับประเด็นการขาย Tik-Tok แม้กระทรวงพาณิชย์ของจีนกล่าวว่าประเทศจีนยินดีที่จะทำงานร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อ “แก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ TikTok” แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้
นอกจากนี้นักลงทุนประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังจากที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวลล์ ย้ำว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนั้น ยังไกลจากความแน่นอน หลังจากที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และมีความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่ผู้กำหนดนโยบาย
นักลงทุนมองว่ามีโอกาส 70% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมเดือนธันวาคม ซึ่งลดลงจากกว่า 90% หลังจากความเห็นของพาวเวลล์เมื่อวันพุธ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเป็นวันที่สามติดต่อกัน ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการดำเนินการในอนาคตของธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดไว้ แต่ความหวังที่จะลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคมลดน้อยลง และธนาคารกลางสหภาพยุโรป( ECB)คงอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นักลงทุนต่างย่อยผลประกอบการของบริษัท
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 574.83 จุด ลดลง 0.57 จุด, -0.10%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,760.06 จุด เพิ่มขึ้น 3.92 จุด, +0.04%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,157.29 จุด ลดลง 43.59 จุด, -0.53%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,118.89 จุด ลดลง 5.32 จุด, -0.02%
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันพุธที่ผ่านมา แต่ประธานเฟดเจอโรม พาวเวลล์ กล่าวว่าการลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งอาจเป็นไปไม่ได้ในปีนี้ ทำให้นักลงทุนลดการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมลง
ด้านการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไม่ต่างไปจากที่คาดไว้ โดยคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในวันพฤหัสบดี และไม่ได้ส่งสัญญานเกี่ยวกับการดำเนินการในอนาคต
หุ้นอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยฉุดดัชนี STOXX 600 มากที่สุด โดย Schneider Electric ลดลง
3.3% แม้จะเติบโตได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ Kongsberg Gruppen บริษัทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ร่วงลง 18.3% จากแผนที่จะแยกธุรกิจการเดินเรือออกไป
หุ้นยานยนต์ร่วงลงมากที่สุด โดยหุ้น Stellantis ร่วงลง 8.9% หลังจากถูกตั้งข้อหาพิเศษที่
เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ กลยุทธ์ และผลิตภัณฑ์
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 0.9%
สำหรับหุ้นรายตัว Societe Generale ลดลง 3.6% หลังจากที่ซีอีโอปฏิเสธที่จะให้คำมั่นว่าจะจัดสรรเงินทุนส่วนเกินให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้น
หุ้น ING เพิ่มขึ้น 5.8% หลังจากที่ธนาคารประกาศแผนการจัดสรรเงิน 1.6 พันล้านยูโร (1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับการซื้อหุ้นคืนและจ่ายเงินปันผล หุ้น Standard Chartered ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.6% หลังจากที่ระบุว่าจะบรรลุเป้าหมายกำไรที่สำคัญเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้หนึ่งปี
หุ้น Airbus เพิ่มขึ้น 2.1% หลังจากผลประกอบการไตรมาสที่สามสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
หุ้น Novo Nordisk ลดลง 3.6% หลังจากเข้าร่วมการแข่งขันประมูล Metsera ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐฯ กับ Pfizer
หุ้น Puma ร่วงลง 8.3% หลังจากยอดขายในไตรมาสที่สามลดลงมากกว่า 15%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.15% ปิดที่ 60.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.12% ปิดที่ 65.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

