HoonSmart.com>>ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ คาดอีก 5 ปีข้างหน้า บิทคอยน์อาจได้รับการยอมรับเท่ากับทองคำ หลังรัฐบาลสหรัฐฯหนุน- ธนาคารกลางหลายประเทศยอมรับเป็นหนึ่งในทุนสำรอง- มีบทบาทในการโอนเงินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น
นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ กล่าวในงานเสวนา”กลยุทธ์โค้งสุดท้าย พร้อมรับมือโลกใหม่” จัดโดย บล.บียอนด์ ว่า บิทคอยน์มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสินทรัพย์อันดับที่ 8 ของโลก และมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น อาจได้รับการยอมรับเท่ากับทองคำในอีก 5 ปีข้างหน้า
จุดเปลี่ยนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต มาจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ มีการเปิดตัว Bitcoin ETF เป็นครั้งแรก ช่วยดึงเม็ดเงินของนักลงทุนสถาบันเข้ามาซื้อ Bitcoin มากขึ้นอย่างมหาศาล โดย Bitcoin ETF ของ Black Rock ที่ชื่อว่า iShare Bitcoin ETF เติบโตเร็วที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสถาบันต่างๆ ที่เคยไม่สนใจเริ่มเข้ามาลงทุนอย่างมาก
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณว่าจะ ยุติการทำ QT (Quantitative Tightening) และจะอัดฉีดสภาพคล่อง (liquidity) เข้าสู่ระบบ,อัตราดอกเบี้ยในอเมริกามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในด้านท่าทีทางการเมืองในสหรัฐฯ เริ่มยอมรับ Bitcoin อย่างเต็มตัวแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เองก็ซื้อ Bitcoin จำนวนมาก
รวมถึง มีการออกกฎหมายใหม่ที่อนุญาตให้ กองทุน 401K (คล้ายกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของไทย) สามารถซื้อบิทคอยน์ได้ นี่คือเม็ดเงินลงทุนระยะยาว ที่เริ่มเข้ามาสนใจ
ธนาคารกลางหลายประเทศ มีการใช้บิทคอยน์เป็นหนึ่งในทุนสำรอง
ปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้น ที่ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงบิทคอยน์มีการเติบโตเพิ่มขึ้น
นายนิรันดร์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องระวัง คือ ความเสี่ยงเรื่องฟองสบู่ เนื่องจากราคาขึ้นมาสูงมาก คล้ายกับช่วงฟองสบู่ดอทคอมในปี 2543 สินทรัพย์หลายตัวถูก “Leverage” โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผู้ซื้อหุ้นอเมริกาผ่าน Leverage ETF (เช่น 3X ETF ที่เงิน 100 บาทสามารถซื้อมูลค่า 300 บาทได้) ในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์จึงมีความเป็นไปได้ ที่ฟองสบู่น่าจะแตก ภายใน 1-2 ปี เนื่องจากราคาขึ้นมาสูงมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ก็สามารถขึ้นต่อไปได้ตราบใดที่ยังมีสภาพคล่องไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นายนิรันดร์ เชื่อว่าในระยะยาว 5 ถึง 10 ปี ข้างหน้า Bitcoin จะกลายเป็น สินทรัพย์หลัก ของโลกและอาจเทียบเท่ากับทองคำได้
ทั้งนี้ เปรียบเทียบ ทองคำ กับบิทคอยน์ ว่า ทองคำ มีคุณค่าที่เกิดจากการสะสมแต่มีข้อจำกัดในการเเคลื่อนย้าย, การนำทองคำไปไหนมาไหนด้วยจะทำได้ยาก,มีการใช้ในวงการอุตสาหกรรมน้อย และ ปริมาณที่เพิ่มขึ้นได้จากการขุดขึ้นเพิ่ม
ขณะที่ Bitcoin มีปริมาณจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ และมีประสิทธิภาพมากกว่าในการเคลื่อนย้ายและจัดเก็บ อาจอยู่ในรูปแบบของ USB Drive หรืออาจไม่จำเป็นต้องมี USB Drive ด้วยซ้ำ เพียงแค่จดจำรหัสผ่าน (pass) ได้
Bitcoin จึงสอดคล้องกับโลกยุคดิจิทัลมากกว่าทองคำ
นอกจากนี้ สกุลเงินดิจิทัล (Digital Asset) โดยเฉพาะบิทคอยน์ ยังมีความเชื่อมโยงกับพลังงาน เพราะจากการที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการสร้างสกุลเงินดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดพลังงานแห่งอนาคต (New Energy) และ การจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอื่นๆ ด้วย
สรุปแล้ว ในยุคดิจิทัล คุณค่าของทองคำยังคงอาศัยการยอมรับทางประวัติศาสตร์และสถานะสินทรัพย์สำรอง ในขณะที่คุณค่าของบิทคอยน์ถูกขับเคลื่อนด้วย ความจำกัดของอุปทาน
ถ้ามีการยอมรับบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์สำรอง จะเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญที่ให้สกุลเงินดิจืทัลมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ สกุลเงินดิจิทัล ยังมีบทบาทเพิ่มขึ้นในระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยปัจจุบัน หากต้องการโอนเงินไปต่างประเทศผ่านธนาคาร อาจต้องใช้เวลารอถึง 2 วัน และมีอัตราแลกเปลี่ยนที่แพง ค่าธรรมเนียมการโอนสูงอาจถึง 10% แต่ถ้าโอนในรูปของ Stablecoin ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น และค่าธรรมเนียมการโอนอาจเพีง 2%
ผู้ให้บริการทางการเงินรายใหญ่ของโลก เริ่มมีการปรับตัวแล้ว หันมาสนใจใช้สเตเบิล คอยน์ และเทคโนโลยีบล็อคเชนในการโอนเงินมากขึ้น
ในอนาคต เชื่อว่า เทคโนโลยีบล็อกเชนจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการซื้อขายและการถือครองสินทรัพย์ดั้งเดิมทั้งหมด รวมถึงการซื้อขายหุ้นกู้ รวมถึงสินทรัพย์ทั้งหมดในโลก อาจจะโดน disrupt ด้วยบล็อกเชน
นายนิรันดร์ แนะนำว่า บิทคอยน์ควรจะเป็นหนึ่งในพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุน โดยแนะนำให้ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เนื่องจากบิทคอยน์ มีโอกาสการเติบโตสูง นักลงทุนที่ยังไม่เคยลงทุน อาจเริ่มต้นลงทุนด้วยสัดส่วนเล็กน้อย เช่น 1% 2% หรือ 5% ก่อน
นอกจากนี้ ยังมีสินทรัพย์ดิจิทัลอีกหลายรูปแบบที่จัดเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรซึ่งนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง
