“บลจ.กสิกรไทย” แนะ 3 ธีมลงทุนปี’69 สร้างรายได้ประจำ-ลดความเสี่ยง

HoonSmart.com>>บลจ.กสิกรไทย แนะ 3 ธีมใหญ่ที่นักลงทุนต้องไม่พลาดปี 2569 ช่วยสร้างรายได้ประจำ ลดความเสี่ยงจากตลาดผันผวน 

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวในงานเสวนา “กลยุทธ์โค้งสุดท้าย พร้อมรับมือโบกใหม่” จัดโดย บล.บียอนด์ ว่า 3 ธีมใหญ่ๆ ที่คาดว่าจะเป็นเทรนด์สำคัญในปี 2569 ประกอบด้วย 1.การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุค AI และหุ่นยนต์  การปรับโครงสร้างของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก 2.การย้ายฐานการผลิต 3.การลงทุนด้านพลังงานสะอาด

การแสวงหา แหล่งรายได้ประจำ (Income) จากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้นปันผลและโครงสร้างพื้นฐาน ในยุคที่อัตราดอกเบี้ยกำลังลดลง จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ

ทั้งนี้ เทคโนโลยี AI และ Robotics จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมรอบที่ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีถัดไป รอบแรก เมื่อ 200 ปีที่แล้ว คือเครื่องจักรไอน้ำ, รอบที่สอง เมื่อ 100 ปีที่แล้ว คือไฟฟ้า,รอบที่สาม เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว คือคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

ปัจจุบัน อยู่ในช่วงที่เรียกว่า “ช่วง adoption ของ AI” ซึ่งหมายถึงบริษัทต่างๆ กำลังค่อยๆ นำ AI มาใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ

ยกตัวอย่าง การนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่เห็นได้ชัด การจัดการข้อมูลภายในบริษัทประมาณ 70,000 รายการต่อเดือน ซึ่งโดยปกติจะต้องใช้คนทำเต็มเวลา แต่ปัจจุบัน บริษัทได้มีการนำ robot มาเก็บข้อมูลแทน และใช้ AI มาประมวลผลและทำรายงาน (reporting) ส่งผลให้สามารถโยกย้ายพนักงานคนดังกล่าวไปทำหน้าที่อื่นได้

ส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานด้วย จะเห็นว่ามีการใช้ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น ทั้งตากแบรนด์ทั่วไปอย่าง Toyota, Honda รวมถึงแบนด์ BM, Benz หันมาใช้มากขึ้น

AI ทำให้เกิด ความก้าวหน้าในด้านเทคนิคทางการแพทย์ ที่เปลี่ยนจากการรักษาแบบหว่าน ใช้ยาและแนวทางการรักษาเดียวกันสำหรับทุกโรค มาเป็นการรักษาแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น

สรุปแล้ว ภาคอุตสาหกรรมกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ 4 ด้วยการนำ AI และ Robotics มาใช้ทดแทนแรงงานในงานที่ซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูล และสร้างความต้องการพลังงานจำนวนมหาศาล

นักลงทุนจำเป็นต้องเลือกบริษัทที่จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้

นายวิน แนะนำ กลยุทธ์การจัดพอร์ต ควรจะมี Core-Satellite หรือพอร์ตหลัก กระจายสินทรัพย์หลายประเภทและครอบคลุมทั่วโลก จะช่วยให้พอร์ตไม่ติดลบหนักในวันที่ตลาดผันผวน และในระยะยาว พอร์ตหลักจะให้ผลตอบแทนที่มั่นคงสร้างรายได้สม่ำเสมอ เพื่อรับมือความผันผวน พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน

ทั้งนี้ ในCore Portfolio ให้เน้น กระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และกระจายการลงทุนไปทั่วโลก

แต่จากการที่ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว จึงแนะนำให้ ลดสัดส่วนความเสี่ยงของหุ้นลงมาบ้าง แล้วเพิ่มตราสารหนี้ โดยเน้นตราสารหนี้ทั่วโลก เพราะผลตอบแทนของตราสารหนี้ไทยค่อนข้างต่ำแล้ว ในขณะที่ตราสารหนี้โลกยังมีผลตอบแทนที่สูงอยู่ บางกองทุนของ บลจ.กสิกรไทย มี Yield เฉลี่ยประมาณ 6% กว่า ๆ

นายวิน กล่าวว่า ในวันที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศภาษี ซึ่งตลาดลบไปถึง 20% แต่ Core Portfolio ที่ออกแบบมา เช่น K Plus ติดลบเพียง 2% เท่านั้น

ทั้งนี้ ยอมรับว่า Core Portfolio ไม่เคยเป็นที่ 1 ในแง่ผลตอบแทน แต่ก็ไม่เคยรั้งท้ายตลาด หากมองย้อนหลัง 10 ปี Core Portfolio จะอยู่กลาง ๆ ค่อนบนของการจัดอันดับ และเมื่อจบครบ 10 ปี Core Portfolio อยู่อันดับ 2 ของตลาด โดยมีความเสี่ยงไม่เยอะ

สำหรับ ใน Core Portfolio นั้น 80% ลงทุนทั่วโลก อีก 20% ใช้สำหรับเป็น Satellite Portfolio ลงทุนรายประเทศ หรือราย Sector ที่มีความผันผวนสูง เช่น เวียดนาม จีน หุ้นเทค หรือ Cryptocurrency โดยกลุ่ม Satellite นี้ควรถูกจำกัดความเสี่ยงไว้ เพราะหากเสียก็จะเสียไม่เยอะ