SCB EIC คาดส่งออกปี’69 เสี่ยงติดลบ สงครามการค้าเขย่าศก.ไทย–โลก 

HoonSmart.com>>SCB EIC ชี้สงครามการค้า กระแทกส่งออก-ลงทุน-โครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน เหตุภาษีเพิ่ม-การจัดเรียงฐานการผลิตใหม่ แนะเร่งปฏิรูปโครงสร้างรัฐ–แรงงาน–พลังงาน ดึง FDI เข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC กล่าวในงานเสวนา “กลยุทธ์โค้งสุดท้าย พร้อมรับมือโบกใหม่”  จัดโดย บล.บียอนด์ ว่า สงครามการค้า (Trade War) ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก ทั้งในด้านการส่งออกและการลงทุน

องค์การการค้าโลก (WTO) ยืนยันว่า การค้าทั่วโลกในปี 2569 จะเติบโตเพียง 0.5% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำมาก โดยปกติแล้ว การค้าโลกประเภทสินค้าจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3% ต่อปียกเว้นช่วงโควิดที่ติดลบ

สงครามการค้า ยังกระทบต่อ Margin ด้วย เมื่อภาษีเพิ่มขึ้นถึง 19% หรือ 20% นั้น ผู้ประกอบการไทยต้องยอมแบกรับภาระต่อ Margin  เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระทั้งหมด

สงครามการค้าจะนำไปสู่การจัดเรียงห่วงโซ่อุปทานของโลกใหม่ แนวโน้ม Near Shoring และ Reshoring ในสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ ต้องการให้มีการลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอัตราสูง

มีความกังวลว่าจะมีภาษีเฉพาะ (specific tariff) เพิ่มเติมเข้ามาอีก และมีหลายรายการที่กำลังรอเข้าคิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบริษัทใดไม่ย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ อาจต้องเจออัตราภาษีที่สูงมาก

แม้แต่ประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการจัดเก็บภาษีใหม่ เช่น เม็กซิโก ซึ่งได้ประโยชน์จากข้อตกลง USMCA ก็จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากจีนและจากประเทศอื่น ๆ ในเอเชียด้วย เนื่องจากสหรัฐฯ อาจบีบเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่ถูกภาษีสูงจะไม่ถูกส่งผ่านประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า ซึ่งรวมถึงสินค้าจากไทยด้วย

นอกจากนี้ จะกระทบกับเศรษฐกิจเป็นพิเศษเนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกสูงมาก โดย 60% ของ GDP มาจากการส่งออก และจะเพิ่มเป็นเกือบ 70%หากรวมการท่องเที่ยวด้วย และ ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมด

เมื่อสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้บริโภคอันดับหนึ่งของโลก บอกว่าไม่ต้องการทำหน้าที่นั้นอีกต่อไป ย่อมกระทบต่ออัตราการเติบโต (GR) แน่นอน จึงคาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในปี 2569 อาจ ติดลบ

ด้านผลกระทบต่อการลงทุนระหว่างประเทศ (FDI)เริ่มเห็นแล้ว โดย 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนจุดหมายปลายทาง (destination) เปลี่ยนประเภทของการลงทุนด้วย

สหรัฐอเมริกา ได้รับ FDI เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นไปตามนโยบายของทั้งประธานาธิบดีไบเด็น และต่อเนื่องมาถึง โดนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่อง Reshoring และ Near Shoring และ เม็กซิโกและแคนาดา ก็ได้รับประโยชน์ด้วย เพราะเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ

ขณะที่ กลุ่ม BRICs ถูกมองว่าเป็นเหมือนศัตรูกับสหรัฐฯ FDI ชะลอลง ทั้งหมด สะท้อนถึงประเด็นความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง

เงินลงทุนเปลี่ยนไปสู่ภาคอุตสาหกรรมใหม่ ที่เติบโตสูงมากในช่วงหลัง ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน,เซมิคอนดักเตอร์ , และ การผลิตขั้นสูง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนสัดส่วน FDI ที่เปลี่ยนไป รวมถึงการลงทุนในเรื่อง AI ที่กำลังเติบโตสูง ทางอาเซียน ยังคงได้ประโยชน์ จากการไหลเข้าของ FDI

การเคลื่อนย้ายเงินทุน และการเติบโตของการลงทุนจากต่างประเทศมาไทยก็ได้รับประโยชน์ด้วย จะเห็นว่าตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ของไทย ยังคงสูงขึ้นอย่างมาก และตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ก็ได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

เงินลงทุน กระจุกตัวอยู่ใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ซึ่งถือเป็น New S-Curve ได้แก่ ดิจิทัล (ศูนย์ข้อมูล คลาวด์) อิเล็กทรอนิกส์ (รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์) และ รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

แม้ไทยจะมีโอกาสในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลก แต่ก็มี ความท้าทาย ที่ต้องเผชิญ เช่น ปัญหาด้านน้ำ พลังงานทดแทน และคุณภาพของบุคลากร

ไทยจำเป็นที่ต้องปฏิรูปโครงสร้าง และแก้ไขปัญหา ประสิทธิภาพของภาครัฐ และกฎระเบียบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์จากการเข้าร่วมในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) นี้อย่างแท้จริง ล่าสุด BOI ได้ประกาศปรับกฎเกณฑ์เมื่อเดือนพฤษภาคม โดยกำหนดว่าในหลาย ๆ ภาคส่วนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนนั้น สัดส่วนของ Local Content จะต้องสูงขึ้น

ภาคธุรกิจ ต้องเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ปรับตำแหน่งทางธุรกิจ การนำ ESG มาใช้ การสร้างพันธมิตร และการใช้ ดิจิทัล เข้ามาช่วยในการดำเนินงาน

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–