“กรณ์”ชี้หลักนิติธรรม-โปร่งใส ดึงนักลงทุนต่างชาติกลับไทย

HoonSmart.com>>อดีตรมว.คลัง แนะรัฐเน้นหลักธรรมาภิบาล ความเชื่อมั่นในหลักนิติรัฐ ฟื้นการลงทุนต่างชาติ 

นายกรณ์ จาติกวนิช อดีตรมว.กระทรวงการคลัง กล่าวในงานเสวนา “กลยุทธ์โค้งสุดท้าย พร้อมรับมือโลกใหม่” จัดโดย บล.บียอนด์ ตอนหนึ่งว่า การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไทยที่ซบเซา และผลกระทบต่อรายได้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นช้า เมื่อเทียบกับช่วง 40 ปีที่แล้วเคยมีอัตราการเติบโตของ GDP สูงถึงปีละ 8-9% และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก สาเหตุหลักในเวลานั้นค่อนข้างชัดเจนคือ ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนเป็น ประเทศอุตสาหกรรม และมีความสามารถในการแข่งขันที่ตอบโจทย์นักลงทุนต่างประเทศในอุตสาหกรรมต่างๆ ณ เวลานั้นได้

ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยประสบปัญหา GDP ไม่โต ซึ่งส่งผลกระทบต่อระดับครัวเรือนคือ รายได้ไม่เพิ่ม ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น หนี้สินและการกู้ยืม

หัวใจและต้นตอของปัญหาคือเศรษฐกิจไม่โต ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสถิติทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ขาดหายไปอย่างชัดเจนที่สุดคือ การลงทุนที่ลดลง การลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยรวมถึงการลงทุนโดยต่างประเทศและการลงทุนโดยผู้ประกอบการในไทยเอง

ปัจจัยเดิม ๆ ที่เคยเป็นจุดแข็งของไทยได้เปลี่ยนแปลงไปหรือสูญเสียไป ไม่สามารถแข่งขันในเรื่องของราคาพลังงานได้อีกต่อไป เนื่องจากก๊าซธรรมชาติที่เคยค้นพบในอดีตถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว และต้องนำเข้า LNG ในราคาแพง,ประชากรลดลง แรงงานลดลง และกำลังซื้อลดลง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศที่ประชากรยังขยายตัวอยู่ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โลกได้เปลี่ยนไป แต่ไทยยังไม่ได้ปรับตัวเลย ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไม่เติบโต ไม่ตอบโจทย์นักลงทุนต่างประเทศในขณะนี้

นายกรณ์ มองว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้กลับมาลงทุนในประเทศ คือเรื่องของ หลักธรรมาภิบาล (Governance) และหลักนิติรัฐ ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญกว่าเรื่องนโยบาย ต้องทำให้นักลงทุนเชื่อว่าไทยมีหลักนิติรัฐที่เข้มแข็ง มีกฎหมายรองรับ เมื่อเข้ามาลงทุนแล้วจะไม่เสียเปรียบ ไม่ต้องมาจ่ายใต้โต๊ะ และสามารถแข่งขันได้ โดยไม่มีการเอื้อประโยชน์นายทุน หรือมีการรักษาการผูกขาดทางตลาดของกลุ่มทุนที่มีอิทธิพลต่อการเมือง

ข้อมูลจากดัชนีสำคัญต่างๆ ที่วัดระดับการพัฒนาของประเทศ เช่น ดัชนี Transparency International ที่วัดเรื่องคอร์รัปชัน และดัชนีวัดความเป็นประชาธิปไตย ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่ติดอันดับสูงสุดในดัชนีเหล่านี้ล้วนเป็น ประเทศที่ร่ำรวยและพัฒนาแล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่า ความโปร่งใส หลักนิติรัฐ และความเป็นประชาธิปไตย เป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศประสบความสำเร็จในการพัฒนา

นายกรณ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปัจจุบันคล้ายกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นเมื่อ 15 ปีก่อน ที่เจอปัญหาสภาวะเงินฝืดที่ยาวนาน สังคมสูงอายุ การขาดกำลังซื้อในประเทศ และการขาดการปฏิรูปที่ทำให้ภาคธุรกิจขาดความเป็นสากล ซึ่งนำไปสู่การขาดการลงทุน

ไทยยังมีความสามารถที่จะใช้กลไกอื่น ๆ ประกอบด้วย ไทยยังมีช่องว่างในการดำเนินนโยบายการเงินได้ในระดับหนึ่ง เพราะมีทุนสำรองสูง และอัตราดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นยังถือว่าค่อนข้างสูง

หนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 70% ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 (จากเดิมประมาณ 40%) ในทางทฤษฎี ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Fiscal Space ที่สามารถเพิ่มการอัดฉีดทางการคลังได้ แต่ความสามารถนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของชาวโลกที่มีต่อธรรมาภิบาลและการบริหารโดยรวมของไทย

อย่างไรก็ตาม การใช้เงินภาษีของประชาชนในการแก้ไขปัญหาผ่านนโยบายการคลังนั้นทำได้ง่ายที่สุด แต่ไม่ยั่งยืน และไม่ได้ตอบสนองปัญหาที่แท้จริง

การปฏิรูป เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่เป็นส่วนที่ยากที่สุด ไทยต้องปฏิรูปการศึกษา ,ต้นทุนราคาพลังงาน,การทำให้เศรษฐกิจเป็นระบบเสรีจริง ๆ ซึ่งหมายถึงการแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรม บริษัทเล็ก บริษัทน้อย หรือบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนต้องรู้สึกว่าสามารถแข่งขันได้อย่างแท้จริง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไทยยังขาดอยู่

ทั้งนี้ การปฏิรูปของไทยในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มักจะเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกบังคับ เช่น ในยุค IMF ซึ่งเป็นช่วงที่องค์กรภายนอกบังคับให้ไทยทำหลายเรื่องที่รัฐบาลไทยไม่กล้าทำด้วยตนเอง

สิ่งที่ควรจะเป็นคือไทยต้องเป็นผู้กำหนดการปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่รอให้ต่างชาติ (เช่น IMF หรือสหรัฐอเมริกา) มากำหนดเงื่อนไข หากไทยเป็นผู้กำหนดเอง จะสามารถกำหนดให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยเป็นที่ตั้งได้มากกว่า