HoonSmart.com>>”ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย” (CIMBT) เปิดกำไรสุทธิไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 817.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.28% ส่วนงวด 9 เดือน ปี 68 กำไรสุทธิ 1,830.38 ล้านบาท ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นสอดคล้องสถานการณ์เศรษฐกิจ คุมค่าใช้จ่ายลดลง หนี้ NPL คงที่ รายได้ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 กำไรสุทธิ 817.74 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.02 บาท เพิ่มขึ้น 37.28% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 595.67 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.02 บาท
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2568 กำไรสุทธิ 1,830.38 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.05 บาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,890.24 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.05 บาท
นายวุธว์ ธนิตติราภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2568 มีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 10,549.4 ล้านบาท ลดลง 236.1 ล้านบาท หรือ 2.2% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเกิดจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 15.1% และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ 0.5% สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น 34.0%
กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่ดาดจำนวน 5,248.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,037.5 ล้านบาท หรือ 24.6% เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 19.4% สุทธิกับการลดลงของรายได้จากการดำเนินงาน 2.2% กำไรสุทธิจำนวน 1,830.4 ล้านบาท ลดลง 59.9 ล้านบาท หรือ 3.2% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันสาเหตุหลักเกิดจากผลขาดทุนด้านเครติดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น 59.5% โดยเป็นการตั้งสำรองเพิ่มขึ้มขึ้น เพื่อให้สอดดล้องกับหลักความระมัดระวังและเหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือนปี 2568 และ 2567 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 1,094.0 ล้านบาท หรือ 15.1% จากการดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจำนวน 5.1 ล้านบาท หรือ 0.5% สาเหตุหลักเกิดจากการลดลงของค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุทธิกับการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นจำนวน 863.0 ล้านบาท หรือ 34% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเงินลงทุน
ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือนปี 2568 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2567 ลดลงจำนวน 1,273.5 ล้านบาท หรือ 19.4% สาเหตุหลักมาจากการลดลงของค่าเผื่อการด้อยค่าของทรัพย์สินรอการขายและการลดลงของค่าภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2568 อยู่ที่ 50.2% ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2567 อยู่ที่ 61.0%
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับงวด 9 เดือนปี 2568 อยู่ที่ 1.9% ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2567 อยู่ที่ 2.3% เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ
ณ วันที่ 30 ก.ย.2568 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายใต้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 242.1 พันล้านบาท ลดลง 3.7% เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธ.ค.2567 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หันกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 318.5 พันล้านบาท ลดลง 1.7% จากสิ้นปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 324.0 พันล้านบาท
อัดราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็น 760% จาก 77.6% ณ วันที่ 31 ธ.ค.2567
สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 6.3 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ 2.6% คงที่เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธ.ค.2567 เป็นผลจากการที่กลุ่มธนาคารมึนโยบายการจัดการความเสี่ยงด้านการให้สินเชื่อที่รัดกุม มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางในการเรียกเก็บหนี้จากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีอยู่ และการแก้ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 ก.ย.2568 อยู่ที่ 158.1% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 149.0% ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 9.8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท
เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 30 ก.ย.2568 มีจำนวน 61.4 พันล้านบาท คิดเป็นอัตร่าส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 21.1% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อัตรา 16.6%
