HoonSmart.om>>อุตสาหกรรมหลักทรัพย์น่าจะฝ่าวิกฤตการณ์ไปได้ หลังตลาดหุ้นไทยตกต่ำมานานและยังสะบักสะบอมจากดัชนี SETดิ่งลงแรงถึง 22.2% แย่ที่สุดในภูมิภาค ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ภาพรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีของบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ธุรกิจชะลอตัวไม่รุนแรงอย่างที่คาด 18 บริษัทยังโชว์กำไรเบ็ดเสร็จได้อย่างแข็งแกร่ง ส่วนอีก 21 บริษัทรายงานขาดทุนเบ็ดเสร็จ และ 4 รายยังไม่เปิดเผยข้อมูล คาดครึ่งปีหลังน่าจะค่อยๆดีขึ้น
สำนักข่าว”หุ้นสมาร์ท”มีการรวบรวมผลการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งระบบจำนวน 43 บริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 จากเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. โดยใช้กำไรเบ็ดเสร็จหรือขาดทุนเบ็ดเสร็จ ที่เป็นมากกว่ากำไรสุทธิ เนื่องจากมีการคำนวณมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนในตราสารทุนแบบเบ็ดเสร็จ และการวัดมูลค่าใหม่ของผลประโยชน์พนักงานที่กำหนดไว้สุทธิ ทำให้บริษัทที่มีกำไรสุทธิอาจจะพลิกเป็นขาดทุนเบ็ดเสร็จก็ได้

ล่าสุดบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 39 บริษัทรายงานผลการดำเนินงาน โดย 18 บริษัทมีกำไรเบ็ดเสร็จ เบอร์1 ต้องยกให้บล.เกียรตินาคินภัทรที่มีส่วนแบ่งตลาดด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์สูงที่สุดกว่า 20% ของทั้งตลาด ทำกำไรเบ็ดเสร็จได้มากถึง 380.39 ล้านบาท แต่ก็ลดลงกว่า 36% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่จำนวน 601.93 ล้านบาท แม้ว่ารายได้ค่านายหน้าปีนี้ทำได้ 642.17 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อน ดอกเบี้ยซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น) ทรงตัวที่ 166 ล้านบาท แต่ตัวชี้ขาดคือ กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน มีเพียง 222.90 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ 642.01 ล้านบาท ขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวม 1.572.99 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจาก 1.616.79 ล้านบาทในระยะเดียวกันปีก่อน
เบอร์ 2 คือบล. เคจีไอ (ประเทศไทย ) หรือ KGI มีกำไรเบ็ดเสร็จ 335.36 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 399.25 ล้านบาท เฉพาะไตรมาสที่ 2/2568 ตลาดหุ้นแย่ๆ ยังมีกำไรเบ็ดเสร็จ 137.87 ล้านบาท ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 115.46 ล้านบาท เพราะมีดีที่การมีโต๊ะบล็อกเทรด (Block Trade) สร้างกำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน 555.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 520.90 ล้านบาท รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเป็นกอบเป็นกำ 624.78 ล้านบาท
เบอร์ 3 บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) มีกำไรเบ็ดเสร็จ 256.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 148.47 ล้านบาท มี
รายได้รวม 1,675.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากจำนวน 1,505.10 ล้านบาท ค่านายหน้า 565.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 535.01 ล้านบาท มาร์จิ้นทรงตัว 140 ล้านบาท กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน 352.65 ล้านบาท และรายได้จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล 16.47 ล้านบาท ขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวม 1,353.48 ล้านบาท เทียบกับจำนวน 1,317.63 ล้านบาท เฉพาะค่าใช้จ่ายของพนักงาน 470 ล้านบาท ลดลงจากจำนวน 506.98 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับบล.บียอนด์หรือ BYD มีขาดทุนเบ็ดเสร็จมากที่สุดถึง -2,668.48 ล้านบาท เพราะผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น -2,825.82 ล้านบาทส่วนหนึ่งเป็นของบริษัท ไทย สมายล์ บัส (TSB) ส่วนบล.ฟินันเซียไซรัส ขาดทุนเบ็ดเสร็จเป็นอันดับสอง จำนวน -105.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากขาดทุนเบ็ดเสร็จ 33.31 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน และอันดับสามคือ บล.วีบูลล์ (ประเทศไทย) ขาดทุนเบ็ดเสร็จ -90.89 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากจำนวน -27.76 ล้านบาทในปีก่อน
สาเหตุที่บล.วีบูลล์ฯขาดทุนเบ็ดเสร็จมากขึ้นเป็น -90.89 ล้านบาท เกิดจากค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มพรวดจาก 35 ล้านบาทเป็น 112.74 ล้านบาท โดยมีค่าส่งเสริมการขาย 51.21 ล้านบาท จากปีก่อนไม่มี จากการเป็นโบรกเกอร์น้องใหม่เบอร์ 9 ต้องขยายฐานธุรกิจ โดยรวมรายได้ก็ดีขึ้น เป็น 21.85 ล้านบาท เทียบกับจำนวน 7.64 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บล.เคเคพี ไดม์ สามารถพลิกขาดทุนเบ็ดเสร็จ 64 ล้านบาทเป็นกำไรเบ็ดเสร็จ 39 ล้านบาท จากการเติบโตของธุรกิจและฐานลูกค้าจนทำให้ระบบล่ม คำสั่งไม่ Match ผู้บริหารต้องออกจดหมายชี้แจงให้ลูกค้าทราบว่ากำลังขยายระบบหลังบ้าน
บล.บางแห่งมีการกลับรายการสำรองหนี้ ทำให้ดูดีขึ้น เช่น บล.ดาโอ พลิกจากขาดทุนเบ็ดเสร็จ 72 ล้านบาท มีกำไรเบ็ดเสร็จ 67ล้านบาทในงวดนี้ เพราะผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น(กลับรายการ) -133.43 ล้านบาท ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงเหลือ 523.71 ล้านบาท จากจำนวน 734.77 ล้านบาท
ปัจจุบันมี บล. 4 แห่งที่ยังไม่ได้เปิดเผยผลงานงวดครึ่งปี 2568 ได้แก่ บล.แมคควอรี (ประเทศไทย) บล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ (SBITO) บล.พี โฮลดิ้ง ( RHBS) และบล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) หลังจาก บล. อาร์เอชบี (ประเทศไทย)ได้ขายกิจการทั้งหมดให้กับ บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) ส่วนบล.จีเอ็มโอ-แซดคอม (ประเทศไทย) หรือ Z.com ได้ประกาศปิดกิจการ แจ้งขาดทุนเบ็ดเสร็จ -65.18 ล้านบาท ลดลงมากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนเบ็ดเสร็จ -1,048.88 ล้านบาท
“ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ มีรายได้ในแต่ละส่วนลดลงไม่ลึกมากอย่างที่กังวล เพราะดัชนีไหลลงแรงที่สุดในภูมิภาค เกือบจะหลุด 1,000 จุด และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเบาบาง หลายวันไม่ถึง 40,000 ล้านบาท ส่วนบล.ในเครือธนาคารและกลุ่มบริษัทต่างชาติ ยังมีกำไรลดลงไม่มาก”
แนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ในครึ่งปีหลัง น่าจะดีขึ้นตามภาวะตลาดที่นักลงทุนต่างชาติเห็นราคาหุ้นของไทยถูก P/E อยู่ที่ระดับ 11.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในเอเชีย มีแรงซื้อกลับมา ผลักดันดัชนีให้ขึ้นไปบริเวณ 1,300 จุด เดือนก.ย.เด้งขึ้นสูงสุด 1,308.19 จุด แม้ระหว่างทางจะมีการขายทำกำไรบ้างเพราะตลาดตีกลับขึ้นมาแรงและเร็วเทียบกับระดับต่ำสุดของปีที่1,062.78 จุด แต่เชื่อว่ารัฐบาลใหม่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุน รวมพลังกับทุกหน่วยงาน เพื่อให้ตลาดทุนกลับขึ้นจอเรดาร์ของนักลงทุนต่างชาติเหมือนที่ผ่านมาเชื่อว่าจะสร้างบรรยากาศการลงทุนที่สดใส มูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงขึ้น ส่งผลดีต่อทุกธุรกิจไม่เพียงเฉพาะหลักทรัพย์เท่านั้น

