ttb analytics มอง “ประกันภัยสัตว์เลี้ยง” ไทยโตยาก! ทั้งแผนไม่คุ้มค่า-ไร้ฐานข้อมูลกลาง

HoonSmart.com>> ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ประเมินตลาดประกันภัยสัตว์เลี้ยงไทยปี 2568 มีมูลค่าไม่ถึง 200 ล้านบาท เติบโตอย่างจำกัด สวนทางเทรนด์ Pet Humanization ที่ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโดยรวมทะยานใกล้แตะแสนล้านบาท ชี้สาเหตุหลักจาก 2 ความท้าทายสำคัญ คือ แผนความคุ้มครองที่ยังไม่ตอบโจทย์ความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่จ่ายไป และ ปัญหาการขาดฐานข้อมูลกลางของสัตว์เลี้ยง ที่ทำให้การกำหนดเบี้ยและการเคลมประกันเป็นไปได้ยาก แนะภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันปลดล็อกศักยภาพเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ท่ามกลางกระแสการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) ที่ส่งผลให้ตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ได้เปิดเผยบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ ชี้ให้เห็นถึงธุรกิจ “ประกันภัยสัตว์เลี้ยง” ที่กลับเติบโตอย่างจำกัด สวนทางกับภาพรวมอุตสาหกรรม

ttb analytics คาดการณ์ว่าในปี 2568 ตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 9.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 13.2% จากปีก่อนหน้า และมีแนวโน้มทะลุหลักแสนล้านบาทในปี 2569 อย่างไรก็ตาม มูลค่าตลาดประกันภัยสัตว์เลี้ยงกลับคาดว่าจะมีมูลค่าต่ำกว่า 200 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 0.2% ของตลาดสัตว์เลี้ยงโดยรวมเท่านั้น

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนช่องว่างขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับตลาดโลก ซึ่งสัดส่วนมูลค่าประกันภัยสัตว์เลี้ยงต่อตลาดสัตว์เลี้ยงรวมอยู่ที่ประมาณ 3.1% หรือสูงกว่าประเทศไทยถึง 15.5 เท่า โดย ttb analytics ได้วิเคราะห์ถึง 2 สาเหตุหลักที่ฉุดรั้งการเติบโตของตลาดประกันภัยสัตว์เลี้ยงในไทยไว้ ดังนี้

  • แผนความคุ้มครองที่ยังไม่ตอบโจทย์ “ความคุ้มค่า”

ปัจจัยสำคัญที่สุดในการตัดสินใจของผู้บริโภคคือความคุ้มค่า แต่แผนประกันสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ในไทยยังคงมีข้อจำกัด โดยให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลรายปีเฉลี่ยเพียง 170-200% ของค่าเบี้ยประกัน และมีเพดานการเคลมต่อครั้งที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงจำนวนมากมองว่า หากสัตว์เลี้ยงไม่ได้เจ็บป่วยหนักหรือเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง การรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองอาจคุ้มกว่าการจ่ายเบี้ยประกัน

ซึ่งแตกต่างจากประกันในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้สูงถึง 70-90% หลังหักค่าใช้จ่ายส่วนแรก (Deductible) และเมื่อเทียบกับประกันสุขภาพของคน ยิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจน ซึ่งให้ความคุ้มครองสูงกว่าค่าเบี้ยหลายสิบเท่า ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าประกันสัตว์เลี้ยงยังไม่สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ควบคุมไม่ได้อย่างแท้จริง

  • ข้อจำกัดด้าน “ระบบข้อมูลสัตว์เลี้ยง” พื้นฐาน

การขาดฐานข้อมูลกลาง (Centralized Database) ที่รวบรวมประวัติสุขภาพ การเจ็บป่วย และพฤติกรรมการเคลมของสัตว์เลี้ยงในไทยอย่างเป็นระบบ ทำให้บริษัทประกันภัยประเมินความเสี่ยงและกำหนดอัตราเบี้ยประกันที่เหมาะสมได้ยาก แม้จะมีความพยายามผลักดันเรื่องการฝังไมโครชิป แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

ผลที่ตามมาคือ บริษัทประกันต้องออกกรมธรรม์ที่มีเงื่อนไขเข้มงวดเพื่อลดความเสี่ยง เช่น การจำกัดอายุสัตว์เลี้ยง, ระยะเวลารอคอย (Waiting Period) ที่นานถึง 2 เดือน และกระบวนการเคลมที่ผู้เอาประกันต้องสำรองจ่ายไปก่อนแล้วทำเรื่องเบิกคืนเอง ซึ่งสร้างความยุ่งยากและไม่สะดวกให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยง

ttb analytics สรุปทิ้งท้ายว่า การจะขับเคลื่อนตลาดประกันภัยสัตว์เลี้ยงไทยให้เติบโตได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้ง ภาครัฐ ในการเร่งพัฒนาฐานข้อมูลสัตว์เลี้ยงกลางผ่านการขึ้นทะเบียนและฝังไมโครชิปอย่างจริงจัง รวมถึงพิจารณามาตรการจูงใจทางภาษี และ ผู้ประกอบการประกันภัย ที่ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความคุ้มค่า โปร่งใส และสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ เช่น การจับคู่ผลิตภัณฑ์ (Bundling) หรือการสร้าง Ecosystem ร่วมกับโรงพยาบาลสัตว์และร้านค้า เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนบนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค